เมื่อ “โธมัส มันน์” เลือกประพันธ์ “ความตายที่เวนิส” (Death in Venice) ผ่านการประณีตคำบรรยายความรู้สึกนึกคิดของนักเขียนใหญ่ผู้เป็นตัวละครเอก “กุสตาฟ อัชเชินบัค” แนวโน้มที่มันจะเป็นนวนิยายของคนที่มีชีวิตอยู่กับความคิดตัวเองจึงมีสูง กระทั่งอาจกลายเป็นนวนิยายของคนหลงตน แบบเดียวกับนาร์ซิสซัส ชายรูปงามผู้ต้องสาปให้หลงรักเงาสะท้อนของตัวเองในปกรณัมกรีก

แม้มันน์จะเลือกให้เด็กหนุ่มผู้เป็นความงามสำหรับอัชเชินบัค “ทาทจู”  ตกเป็นเป้าอุปมาถึงนาร์ซิสซัส แต่เมื่อลองกลับมาอ่านทวนและถอยหลังออกมาจาก “โลกในหัว” ของอัชเชินบัค จะพบว่า ตัวละครนักเขียนใหญ่ของเราเองนี่แหละที่ตกหลุมรักความงามตามอุดมคติของตัวเองอย่างโงหัวไม่ขึ้น แม้รู้อยู่แล้วว่าความงามนี้อาจนำเขาไปสู่ความตายก็ตาม แต่ก็งมงายและหวงแหนในความงามอุดมคตินี้จนไม่อาจปล่อยให้ใครมา “มอง” ความงามนี้ นอกจากตัวเอง

“ห้ามยิ้มอย่างนี้อีก ห้ามยิ้มอย่างนี้กับใครอีก ได้ยินไหม” ไม่เชื่อก็ลองไปนั่งอ่านแล้วดูว่าคำพูดนี้มันโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร 

อัชเชินบัคคือนาร์ซิสซัสที่พอใจกับการโดนสาปให้มองหน้าอันงดงามของตัวเองเพียงคนเดียวตลอดไป ส่วนความตายที่เวนิสก็เป็น “โนเวลเลอ” (Novelle) ของนักเขียนใหญ่ผู้ตกหลุมรักความงามที่มาในรูปเด็กหนุ่ม เป็นความรักที่ผู้ตกหลุมรักละเมอเพ้อฝัน “คิดต่างๆ นาๆ” ไปไกลข้างเดียวจนกู่ไม่กลับ ฟังดูอาจเป็นการรวบยอดที่ใจร้ายไปบ้าง แต่จำต้องยกย่องว่า ข้อมูลนี้จะไม่ได้มีผลต่ออรรถรสตอนอ่านเลย เนื่องจากมันน์โชว์ฝีไม้ลายมือในการสาธยายความรู้สึกได้อย่างแพรวพราวหมดจด จนกลบเกลื่อนและบิดเบือนโลกความจริงภายนอกอัชเชินบัคหมดสิ้น (แน่นอนว่าต้องชื่นชมความอุตสาหะของ นฤมล ง้าวสุวรรณ ผู้แปลด้วย)

ในสายตาของโธมัส มันน์ การทำเช่นนี้เป็นผลจากเสียงเย้ายวนที่นักเขียนต้องมองหา 

“สิ่งที่นักเขียนปรารถนาก็คือความคิดที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ และอารมณ์สามารถเปลี่ยนเป็นความคิดได้”

ต้องขอบคุณคำกล่าวตามของ พรสรรค์ วัฒนางกูร บรรณาธิการของหนังสือแปลเล่มนี้ ที่เผยให้เห็นว่ามันน์ใช้หนังสือเล่มนี้เป็นการวิพากษ์ปรัชญาและประชดประชันสังคมเช่นไรบ้าง (ข้อเขียนเชิงวิชาการอื่น นอกจากตัวบทวรรณกรรม เป็นความดีงามของหนังสือที่พิมพ์โดย อ่าน๑๐๑ สำนักพิมพ์) ใครสนใจ Freud, Nietzsche, Schopenhauer หรือ Goethe รับรองอ่านสนุก

“…ความงามจะพาพวกเรานักเขียนให้พินาศ เนื่องจากเราไม่เน้นการกระทำ แต่เรานักเขียนมีแต่จะพร่ำพูดไปเรื่อยๆ” เมื่อลองกลับไปอ่านด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ยิ่งเข้าใจว่าทำไมโธมัส มันน์ ถึงได้รับการยกย่อง เพราะก่อนที่มันจะเดินทางมาถึงประโยคสรุปที่ยกมา เขาบรรยายเสียดสีศิลปินที่ไล่ล่าตาม “ความมัวเมาและราคะตัณหา” ไปแล้วเป็นหน้าๆ


อภิสิทธิ์ เรือนมูล เขียน

Author

อภิสิทธิ์ เรือนมูล
อดีตนักเรียนนิติศาสตร์แต่สนใจปรัชญา สนใจเรื่องความคิดและศิลปะ ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ