อนาธิปไตยคือแนวคิดทางการเมืองที่ผู้คนชิงชังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะเมื่อพูดถึงอนาธิปไตยแล้ว พวกเขาจะมองเห็นความโกลาหล ไร้ระเบียบ ไร้กฎหมาย หรืออาจจะรวมไปถึงไร้ศีลธรรม ภาพของนักอนาธิปไตยจึงถูกฉายออกมาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง เพ้อฝัน จนบางคนขนานนามว่าเป็นกลุ่มซ้ายตกขอบ ไม่น่าให้ราคาอะไรกับคนพวกนี้
สังคมเราถูกหล่อหลอมว่าอนาธิปไตยคือความชั่วร้ายที่จะทำให้โลกนี้ล่มสลาย ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่อง The Purge แต่แท้จริงแล้ว อุดมการณ์ของอนาธิปไตยไม่ได้เพ่งเล็งไปที่ความรุนแรงหรือไร้ระเบียบ เพียงแต่ว่าการปฏิเสธรัฐของเหล่านักอนาธิปไตยนั้นชวนให้คนส่วนใหญ่คิดถึงความไร้ระเบียบมากกว่า เพราะถ้าไม่มีรัฐ ก็เท่ากับไม่มีกฎเกณฑ์น่ะสิ และเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์สังคมก็จะมีแต่ความวุ่นวายแน่ๆ
ดังนั้นเหล่านักอนาธิปไตยจึงพยายามมาตลอดที่จะสื่อสารว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้านระเบียบ เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมรับระเบียบที่ไม่ได้เกิดจากข้อตกลงของคนในสังคมทั้งหมด พวกเขาพยายามวิพากษ์การดำรงอยู่ของรัฐที่คอยพรากเสรีภาพและปิดกั้นศักยภาพของมนุษย์ พวกเขาเชื่อว่าสังคมมนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีรัฐอยู่เลย
แนวคิดอนาธิปไตยมีความเข้มแข็งมากในศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษ 20 เพราะมีนักอนาธิปไตยคนสำคัญเกิดขึ้นมากมาย แต่หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นักอนาธิปไตยก็ถูกกวาดล้างมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสองยักษ์ใหญ่ทางอุดมการณ์ในช่วงสงครามเย็นต่างก็เห็นพ้องว่ารัฐคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นักอนาธิปไตยจึงถูกชิงชังจากทุกฟากฝ่ายและไม่ค่อยจะมีบทบาทมากนัก จนกระทั่งต้นทศวรรษ 1990 ก็เริ่มมีการนำเอาแนวคิดอนาธิปไตยกับมาพูดถึงและปฏิบัติกันอีกครั้ง และจนถึงตอนนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอนาธิปไตยเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะโดนก่นด่ามากมายเท่าไหร่ก็ตาม
แต่รู้หรือไม่ว่าในปี 2022 นี้ อนาธิปไตยสอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างไม่น่าเชื่อ
ในปี 1996 John Perry Barlow นักเขียนชาวอเมริกันได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงต่อกฎหมายโทรคมนาคมฉบับใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งทำให้เสรีภาพในการแสดงออก (โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ต) ของประชาชนลดลงเป็นอย่างมาก Barlow กล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้คือการประกาศสงครามกับพื้นที่ไซเบอร์ และเขาเขียน “คำประกาศอิสรภาพของไซเบอร์สเปซ” (Declaration of Independence of Cyberspace) ขึ้นมาเพื่อบอกให้โลกนี้รับรู้ว่า อินเทอร์เน็ตไม่ใช่พื้นที่ที่รัฐบาลทั้งหลายจะเขามายุ่มย่ามวุ่นวายหรือใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้
“[พวกรัฐบาล] ไม่มีสิทธิ์ชอบธรรมอันใดที่จะปกครองพวกเรา แล้วพวกมันก็ไม่มีวิธีใดๆ ที่จะทำให้พวกเราเกรงกลัว”
สำหรับ Barlow นั้น อินเทอร์เน็ตและไซเบอร์สเปซต้องเป็นอิสระจากการปกครองหรือรัฐบาลทั้งปวง เพราะมันเกิดขึ้นจากผู้คนที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์และสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ความเฟื่องฟูของโลกอินเทอร์เน็ตเกิดจากคนธรรมดาสามัญที่ไม่ถูกแบ่งแยกทางชนชั้นหรือสีผิว หาใช่จากฝีมือของสถาบันทางการเมืองที่เรียกว่ารัฐบาลไม่ การอ้างสิทธิ์ในการเข้ามาควบคุมหรือจัดระเบียบอินเทอร์เน็ตจึงเป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้ หรือกล่าวอีกอย่างคือ ชาวไซเบอร์สเปซนั้นไม่เชื่อว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
ในแง่นี้อินเทอร์เน็ตจึงมีสภาวะอนาธิปัตย์ (anarchy) ที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของอำนาจรัฐที่มีลักษณะรวมศูนย์ และเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกิดความสัมพันธ์แนวระนาบ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสภาวะอนาธิปัตย์คือความยุ่งเหยิงหรือโกลาหล เพราะอันที่จริงแล้วอนาธิปไตยไม่ได้ปฏิเสธกฎเกณฑ์หรือองค์กร เพียงแต่ว่าในลักษณะความสัมพันธ์ที่ถูกจัดวางใหม่นั้น จะต้องมีการออกแบบกฎเกณฑ์หรือการจัดการที่แตกต่างจากความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นอย่างที่คุ้นเคยกันโดยทั่วไป
สำหรับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น สายใย (web) ที่ถูกถักทอขึ้นมาจากการเชื่อมต่อมหาศาลนั้นทำให้อินเทอร์เน็ตมีลักษณะของไรโซม (rhizome) ที่ไม่อาจเจาะจงได้ว่าศูนย์กลางอยู่ที่ไหน และพร้อมที่จะปฏิเสธการมีศูนย์กลางอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะถูกออกแบบมาให้เป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่เคยรอดพ้นจากอำนาจรัฐได้เลย กฎหมายจำนวนมากถูกบัญญัติขึ้นเพื่อไม่ให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นพื้นที่ไร้ขื่อแป หรือถ้าพูดให้ตรงกว่านั้นคือไม่ให้เป็นภัยต่อการปกครองของรัฐบาล นับตั้งแต่ประกาศของ Barlow เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน จนถึงตอนนี้อำนาจรัฐแผ่ขยายเข้ามาในอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มข้น แต่ยิ่งถูกบีบบังคับหรือควบคุมขึ้นเท่าใด ไซเบอร์สเปซก็ยิ่งเคลื่อนหนีออกจากอำนาจเหล่านั้นอยู่เรื่อยๆ อย่างเช่น การรณรงค์เพื่อให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว การปกปิดตัวตน การสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ การเข้ารหัสในการสื่อสาร เป็นต้น ซึ่งความตื่นตัวเหล่านี้ไม่ได้ส่งสารถึงเหล่ารัฐบาลทั่วโลกเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการโต้ตอบกับพวกบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทำตัวประหนึ่งพี่เบิ้มแห่งโลกอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
Timothy C. May เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ปี 1992 แล้ว เขาออกแถลงการณ์อนาธิปไตยคริปโต (The Crypto Anarchist Manifesto) เพื่อเน้นย้ำถึงกระบวนการเข้ารหัสการสื่อสารที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นอิสระจากอำนาจรัฐมากขึ้น
“ปีศาจที่คอยหลอกหลอนโลกสมัยใหม่ ปีศาจของพวกอนาธิปัตย์คริปโต”
แถลงการณ์ฉบับนี้ทำให้เกิดขบวนการแฮ็กเกอร์ที่เคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยอินเทอร์เน็ตและไซเบอร์สเปซออกจากการแทรกแซงของรัฐ ทำให้เกิดเว็บมืด (dark web) ที่รัฐต้องใช้ความพยายามมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวในการสอดส่องตรวจตรา ทำให้เกิดวัฒนธรรมเสรีที่ต่อต้านกฎหมายลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดการเปิดโปงความลับของรัฐบาล (เช่น วิกิลีกส์, Wikileaks) การเกิดขึ้นของสกุลเงินคริปโต และการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อต่อสู้กับรัฐในพื้นที่ออฟไลน์ พวกเขาเห็นความทรงพลังของไซเบอร์สเปซ และจะไม่ยอมให้มันตกอยู่ภายใต้อำนาจรวมศูนย์ใดๆ เป็นอันขาด
อาจกล่าวได้ว่า การต่อสู้ของนักอนาธิปัตย์คริปโตที่มีต่ออำนาจรัฐนั้นเป็นตัวอย่างชั้นยอดของคำกล่าว “ที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน” นั่นเอง
เหล่านักอนาธิปัตย์คริปโตนั้นอาจแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายประเภท ที่รู้จักกันดีและเป็นกลุ่มใหญ่ก็คือกลุ่มอิสระนิยมทางเทคโนโลยี (Technolibertarianism) ที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพขั้นสูงสุดของปัจเจกบนอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาควบคุมหรือบงการใดๆ ทั้งสิ้น และยังเน้นแนวคิดตลาดเสรีอีกด้วย นักอิสระนิยมมีความเกี่ยวพันกับแนวคิดอนาธิปไตยทุนนิยม (anarcho-capitalism) ที่ดูเหมือนว่าอุดมการณ์ของพวกเขาจะสามารถเกิดขึ้นจริงได้บนไซเบอร์สเปซ เช่น กรณีของ Silk Road เว็บไซต์แลกเปลี่ยนซื้อขายยาเสพติดขนาดใหญ่บนเว็บมืด เพราะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อย่าง Ross Ulbricht ก็ประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาสนับสนุนอนาธิปไตยทุนนิยม และ Silk Road เป็นโครงการที่จะทำให้เขานำเอาอุดมการณ์มาปฏิบัติได้จริง แม้ว่าภายหลังมันจะล้มเหลวก็ตาม (กล่าวคือ Ulbritcht ดูจะมีอิทธิพลและอำนาจมากเกินไป และมีความขัดแย้งภายในกับผู้บริหารคนอื่นๆ จนท้ายสุดเขาถูกจับกุมโดยตำรวจของสหรัฐอเมริกา)
อีกกลุ่มที่น่าจะโด่งดังพอสมควรก็คือพวกไซเฟอร์พังก์ (Cypherpunk) ที่ใช้การเข้ารหัสการสื่อสาร (encryption) เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมือง คุณอาจจะเคยได้ยินชื่อกลุ่มแฮ็กเกอร์ Anonymous ผ่านหูกันมาบ้าง หรือจะเป็นวิกิลีกส์ที่ทำให้ทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน จากการออกมาเปิดโปงความลับสุดยอดของรัฐบาลในประเทศต่างๆ พวกเขามองว่าเทคโนโลยีการเข้ารหัสจะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐพยายามเข้ามาสอดส่องนักเคลื่อนไหวเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาโดยอ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐ ดังนั้นในรอบหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีกระแสรณรงค์การเข้ารหัสการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง (ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเปิดโปงโครงการสอดแนมมวลชนโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาของ Edward Snowden) แอปพลิเคชันอย่าง Telegram หรือ Signal จะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้คนจะนึกถึงเมื่อต้องการการสื่อสารที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว แม้แต่บริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่าง Facebook ก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอาเทคโนโลยีการเข้ารหัสมาใช้กับแอปพลิเคชันของพวกเขา นั่นหมายความว่าผู้คนตื่นตัวเรื่องความเป็นส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก (เข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Privacytools )
ในแง่มุมของการต่อต้านระบบทุนนิยม ก็มีกลุ่มโจรสลัดดิจิทัลที่คอยขับเคลื่อนประเด็นเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะลิขสิทธิ์งานวิจัยและองค์ความรู้ ซึ่งราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าถึงนั้นแพงเกินไป ในปี 2008 มีแถลงการณ์ฉบับหนึ่งชื่อว่า “แถลงการณ์เพื่อการเข้าถึงอย่างเปิดกว้างแบบกองโจร” (The Guerilla Open Access Manifesto) เขียนโดย Aaron Swartz อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ผู้มีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตและทรัพย์สินทางปัญญา
แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมีข้อเรียกร้องที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ก็คือการทวงมรดกทางความรู้และวัฒนธรรมคืนมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ที่นำเอาสิ่งเหล่านี้ไปทำกำไรมหาศาล อย่างเช่นสำนักพิมพ์วารสารวิชาการที่เรียกเก็บเงินแพงๆ สำหรับการเข้าถึงงานวิจัย Swartz “ร้องขอ” ให้พวกเรา ที่มีอภิสิทธิ์ในการเข้าถึงงานวิชาการเหล่านี้ (เช่น บุคลากร อาจารย์ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย) จงดาวน์โหลดงานวิชาการเหล่านั้นออกมาและเผยแพร่ออกไปให้คนทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งอีกสองปีต่อมา Swartz ใช้เครือข่ายของ MIT เพื่อดาวน์โหลดเปเปอร์วิชาการจำนวนมากจากเว็บไซต์ JSTOR โดยผู้ดูแลระบบของ MIT สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ จึงทำให้ Swartz ถูกจับกุมจากข้อหาต้มตุ๋นทางระบบคอมพิวเตอร์และการขโมยข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ เขาโดนลงโทษจำคุกเป็นเวลาหลายสิบปี จนสุดท้ายก็เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเมื่อปี 2013 นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่โลกต้องเสียบุคคลที่มีความสามารถอย่างเขาไป แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากความตายของเขาก็คือ วงวิชาการหันมาให้ความสำคัญต่อการเผยแพร่งานวิชาการในลักษณะ Open Access เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
อินเทอร์เน็ตยังมีส่วนสำคัญอย่างมากในการจัดตั้งองค์กรเพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเหล่านักอนาธิปัตย์ อย่างเช่นการประท้วงในงานประชุม WTO เมื่อปี 1999 ที่คนจำนวนมากมารวมตัวกันในนาม “ขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์” ก็มีการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการสื่อสาร และเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มต่างๆ (ซึ่งมีจำนวนมาก) การเคลื่อนไหวประท้วงในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ล้วนมีการผสมผสานกันระหว่างพื้นที่ออนไลน์และออฟไลน์ เช่น อาหรับสปริง การจลาจลครั้งใหญ่ในอังกฤษปี 2011 ขบวนการ Occupy Wallstreet ขบวนการ Black Lives Matter หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองในไทยเองก็ตาม
เพราะเราหลายคนต่างรู้ดีว่า อินเทอร์เน็ตและไซเบอร์สเปซนั้นเป็นพื้นที่อำนาจรัฐจะแสดงออกมาได้น้อยที่สุด หรือถึงจะแสดงออกมาในระดับที่เข้มข้น เหล่าแฮ็กเกอร์และอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ทั้งหลายก็จะสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาเพื่อหลีกหนีอำนาจเหล่านั้นอยู่ดี อย่างน้อยพวกเขาก็สานต่อเจตนารมณ์ของ Barlow และ May เพื่อทำให้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นอิสระจากอำนาจรัฐจริงๆ
แต่ก็อย่าลืมว่าอินเทอร์เน็ตไม่ได้เป็นเครื่องมือของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าใครก็สามารถถหยิบฉวยมันไปใช้ได้ทั้งนั้น
บทความนี้ไม่ได้เป็นการพูดถึงแนวคิดอนาธิปไตยโดยตรง แต่เป็นการเสนอแง่มุมของอนาธิปไตยในฐานะหลักการของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและไซเบอร์สเปซที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวัน เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ว่า สภาวะอนาธิปัตย์ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอย่างที่คิด แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของการจัดวางความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่ต่างออกไปจากความสัมพันธ์แบบลำดับชั้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้มีอำนาจย่อมไม่ชอบใจ เพราะพวกเขาไม่คงยอมทิ้งอภิสิทธิ์และอำนาจของตนเพื่อที่จะอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ
สภาวะอนาธิปัตย์จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะหลายๆ ครั้งเราก็อาจจะปฏิเสธรัฐ โดยเฉพาะเมื่อรัฐพยายามเข้ามาบงการชีวิตหรือสอดส่องมากเกินไป หลายครั้งเราอาจรู้สึกว่าเสรีภาพโดนคุกคาม ความเป็นส่วนตัวถูกทำลาย หรือถูกปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหาอะไรบางอย่าง แต่เราไม่ได้จะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คุณกลายเป็นนักอนาธิปไตยไปโดยปริยาย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณบางคนอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับการทำให้รัฐหายไป คุณบางคนอาจจะรู้สึกว่ารัฐช่วยคุ้มครองคุณในบางเรื่องได้ คุณบางคนอาจมองว่าถ้าไม่มีรัฐก็จะมีแต่ความวุ่นวายไร้กฎเกณฑ์ แต่นักอนาธิปไตยไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะพวกเขามองว่ารัฐคือสาเหตุของความชั่วร้ายทั้งปวง การทำลายรัฐจึงเป็นเป้าหมายสูงสุด เป็นที่มาของคำว่า anarkhia-anarchy (an = ไม่มี + arkhos = ผู้ปกครองหรือรัฐบาล) นั่นเอง
อ้างอิง
- John Perry Barlow, A declaration of the independence of Cyberspace. 1996, [Online] https://www.eff.org/cyberspace-independence สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2565
- Timothy C. May, The Crypto Anarchist Manifesto. 1988, [Online] https://groups.csail.mit.edu/mac/classes/6.805/articles/crypto/cypherpunks/may-crypto-manifesto.html สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2565
- Aaron Swartz, The Guerilla Open Access Manifesto. 2008, [Online] https://archive.org/stream/GuerillaOpenAccessManifesto/Goamjuly2008_djvu.txt สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2565
- Elle Armageddon, การเข้ารหัสการสื่อสารสองทางช่วยเราสู้เผด็จการได้อย่างไร (End-to-end Encryption 101). แปลโดย sirisiri, 2021, [Online] https://www.dindeng.com/end-to-end-encryption-101/ สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2565
- Peter Marshall, Demanding the Impossible. PM Press, 2010
- Peter Ludlow, Crypto Anarchy, Cyberstates, and Pirate Utopias. Bradford Books, 2010