Reading Group ประจำสัปดาห์สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ เป็นการพูดคุยถึงหนังสือ “100 นวัตกรรมสร้างฟินแลนด์” โดย Ilkka Taipale ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย “ครูจุ๊ย” กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ที่มาเป็นผู้นำวงเสวนา ร่วมกับ อ.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพ พรรคก้าวไกล เป็นผู้ดำเนินรายการ
หัวข้อและเรื่องราวที่พูดคุยกันในวันนี้ เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ คน เพราะขึ้นชื่อว่าฟินแลนด์แล้ว ภาพในหัวคือการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่เป็นรัฐสวัสดิการ และเต็มไปด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ แต่สิ่งที่วงสนทนาในวันนี้นำมาพูดคุยกันยิ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะมันแสดงให้เห็นว่ามากกว่านวัตกรรมที่เป็นตัวเครื่องมือเครื่องใช้หรือเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นสำคัญยิ่งกว่าเสียอีก

“นวัตกรรม” มาจากไหน?
อ.เดชรัต ตั้งข้อสังเกตอย่างน่าสนใจว่าเมื่อคนไทยได้ยินคำว่านวัตกรรม สิ่งที่เรามักคิดถึงก็คือ “ความใหม่” ที่เป็นประโยชน์ แต่พออ่านไปอ่านมาก็จะพบว่าคำว่า “นวัตกรรม” ในหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากสิ่งที่เราคาดหวังโดยสิ้นเชิง
หลายนวัตกรรมที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่เราหลายคนพอรู้อยู่แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ “ว้าว” แต่นั่นก็ทำให้ผู้อ่านต้องกลับมาคิดใหม่ว่า “นวัตกรรม” จริงๆ แล้วแปลว่าอะไร
สำหรับ อ.เดชรัต เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้และตั้งคำถามกับมันแล้ว ข้อสรุปก็คือนวัตกกรรมหมายถึง “การสร้าง” มากกว่าการเป็นความใหม่ กล่าวคือสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นไม่จำเป็นต้องใหม่สำหรับโลก แต่คำถามก็คือใครจะสร้างมันขึ้นมา ด้วยกระบวนการแบบไหน เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ และสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้จะดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้รวมสิ่งที่ “ว้าว” ในฐานะที่เป็นใหม่แบบแยกส่วนเป็นชิ้นๆ แต่เล่าให้เห็นภาพว่าความเป็นฟินแลนด์ประกอบด้วยสร้างขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง อะไรบ้างที่สร้างขึ้นจากความจำเป็นต้องมีอยู่ และสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ มีความเป็นสถาบัน เป็นกฎกติกาในสังคม ซึ่งมีทั้งด้านนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยี แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการมีความเป็นนวัตกรรมทางสังคม เป็นกติกาสำคัญที่ประกอบร่างรวมกันจนกลายเป็นฟินแลนด์ขึ้นมา
อำนาจประชาชนคือหัวใจของนวัตกรรม
ครูจุ๊ยชี้ให้เห็นว่าหมวดแรกของหนังสือเล่มนี้ อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนอ่านชาวไทยที่คาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเล่าให้เห็น “นวัตกรรม” ที่มาเป็นชิ้นๆ อันๆ เพราะมันพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า “วิธีคิด” มาก่อนอื่นใด และยังเน้นในเรื่องที่ดูโดยผิวเผินแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับนวัตกรรมได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “ประชาธิปไตย” “สภาเดี่ยว” “ความโปร่งใส” “การกระจายอำนาจ” ฯลฯ ล้วนแต่ถูกพูดถึงและให้ความสำคัญอยู่ตั้งแต่ในบทแรกๆ ของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งสุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้ก็ได้คลี่คลายให้เราเห็นว่าทำไมมันถึงเป็นหลักการที่สำคัญมาก

บทหนึ่งในหนังสือที่ครจุ๊ยยกมา ก็คือเรื่องของ “การจัดการน้ำ” ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากประชาชน ในยุคหนึ่งที่รูปแบบการปกครองยังไม่ชัด การจัดการน้ำยังเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างกระจัดกระจาย ประชาชนทำกันเองตามมีตามเกิด แต่เมื่อระบบการปกครองเริ่มชัดเจนขึ้นมา มีเทศบาลเป็นหน่วยการปกครองในระดับท้องถิ่น ก็เริ่มมีการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบมากขึ้น
แต่การจัดการที่เปลี่ยนไปนี้ ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่เคยจัดการน้ำกันเองหมดบทบาท แยกย้ายกันกลับบ้านไปไหน แต่พวกเขาได้มารวมตัวกันเป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพน้ำ มีที่ทางเป็นทางการในพื้นที่การจัดการน้ำของรัฐ เป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ทำผ่านหน่วยงานของรัฐอย่างจริงจัง มีปากมีเสียง และเปลี่ยนแปลงทิศทางการจัดการของรัฐได้
ครูจุ๊ยย้ำว่านี่คืออะไรที่เป็นฟินแลนด์มากๆ การที่ประชาชนต่างรวมกลุ่มกันเป็นชมรม เป็นกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ทั้งในทางการเมืองและในทางที่ไม่ใช่การเมือง ทำกิจกรรมได้อย่างเสรี และหลายครั้งการรวมตัวของประชาชนเหล่านี้ ก็ได้เข้าไปมีบทบาทในการกำหนดความเป็นไปของชุมชน สังคม และประเทศฟินแลนด์ทั้งปวง
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้ ไอซ์ได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่าสิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน ในฐานะของสิ่งที่เรียกว่าภาคประชาสังคม และสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยที่มีเหมือนฟินแลนด์ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ไตรภาคี” ซึ่งในฟินแลนด์เป็นอะไรที่แทบจะเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐ นายจ้าง และแรงงาน มาพูดคุยตกลงกัน แต่ทำไมองค์ประกอบเหล่านี้ในประเทศไทยถึงดูจะไม่ค่อยฟังก์ชั่นเท่าไหร่?
ต่อคำถามนี้ อ.เดชรัต ชี้ว่าสิ่งสำคัญก็คือจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มาจากความคิดที่เปิดรับจากทุกเสียงจริงหรือไม่ ถ้าอ่านจากหนังสือเล่มนี้จะเข้าใจได้ว่าวิธีคิดของฟินแลนด์ไม่ใช่แค่การสร้างอะไรบางอย่างเพื่อให้ “มี” สิ่งนั้นขึ้นมา แต่คือการทำให้มันมีความหมายด้วย และที่ฟินแลนด์ทำสิ่งนั้นได้ ก็เพราะประชาชนคือศูนย์กลางของเขาที่มีความหมายจริงๆ
แต่สำหรับประเทศไทย จะภาคประชาสังคมที่รัฐย้ำเสมอว่าจะให้มีส่วนร่วม หรือระบบไตรภาคีก็ตาม ล้วนแต่มีอยู่แค่เพื่อให้ “มี” ขึ้นมาเฉยๆ
ประวัติศาสตร์ประชาชน : องค์ประกอบการสร้างชาติและนวัตกรรม
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ อ.เดชรัตย้ำต่อถึงส่วนประกอบสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการสร้างชาติฟินแลนด์ ที่ถูกเล่าอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ก็คือเรื่องของ “ประวัติศาสตร์”
หนังสือเล่มนี้ให้ความสำคัญกับมิติเชิงประวัติศาสตร์มากในฐานะที่มาของการก่อร่างสร้างนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยที่ในไทยประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเรื่องราวของการปกครอง เจ้านาย สงคราม ฯลฯ เพราะสำหรับฟินแลนด์ ประวัติศาสตร์ของเขามีครบทุกเรื่อง มีความล้มเหลว ความสำเร็จ การลองผิดลองถูก และจุดลงตัวคลี่คลายของมัน
ทำให้การมองนวัตกรรมทางสังคมของเขา โดยนัยยะเป็นเรื่องของการเกิดขึ้นในบริบท ณ ขณะหนึ่ง โดยบุคคลหรือตัวแสดงต่างๆ ในสังคม ที่มารวมกันกลายเป็นนวัตกรรมของฟินแลนด์ และกลายเป็นชาติฟินแลนด์ทั้งมวลขึ้นมา
หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจที่หนังสือเล่มนี้พูดถึง ก็คือบทบาททางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ในสภาวะก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองประเทศที่ต่างเคยเป็นผู้ปกครองฟินแลนด์มาก่อน คือสวีเดน และรัสเซียซึ่งในขณะนั้นเป็นสหภาพโซเวียต มีบาดแผลทางประวัติศาสตร์ในอดีตร่วมกันมาก่อนทั้งสองประเทศ

โดยปกติแล้ว ประเทศที่อยู่ในสภาวะแบบนี้ หากจะเอาตัวรอดก็ไม่ควรเบ่งและทำตัวเล็กๆ ให้ไม่เป็นที่สนใจมากนัก แต่ฟินแลนด์ทำตรงกันข้าม กลายเป็นประเทศที่มีความกระตือรือร้นมากในทางการทูต มีความร่วมมือกับกลุ่มประเทศนอร์ดิก มีบทบาทในสมาคมความร่วมมือซีกโลกเหนือ ทำงานวิจัย ช่วยเหลือพัฒนากับประเทศอื่นๆ จนกลายมาเป็นผู้เจรจาสงบศึกสงครามในนามิเบีย ประเทศอัฟริกาที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ได้
หนังสือเล่มนี้ยังพาผู้อ่านไปสู่ภาพที่เล็กกว่า นั่นคือเรื่องของการบริหารจัดการพรมแดนที่น่าสนใจ ด้วยวิธีคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากการมีพรมแดนติดกันกับสวีเดนอย่างไร ภายใต้บริบททางประวัติศาสตร์ที่เคยมีแผลกันมาในอดีต
ครูจุ๊ยเล่าเสริมถึงบทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ที่เล่าถึงส่วนหนึ่งของพรมแดนฟินแลนด์-สวีเดน ที่มีเมืองสองฝั่งที่กั้นด้วยแม่น้ำตรงกลาง คือเมืองทอร์นิโอ ในฝั่งฟินแลนด์ กับเมืองฮาปารันดา ในฝั่งสวีเดน ซึ่งประชาชนของทั้งสองเมืองนี้มีการไปมาหาสู่กันโดยตลอดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ในทางสังคมวัฒนธรรมก็เกิดการแลกเปลี่ยนกันตลอด โรงเรียนมีทั้งเด็กสวีเดนและฟินแลนด์อยู่ด้วยกัน
ในบริบทปกติ เมื่อเป็นเมืองคนละเมืองของคนละประเทศที่แค่แชร์พรมแดนร่วมกัน ก็แทบจะไม่มีประเทศไหนที่จะคิดว่าต้องมีการจัดการอะไรร่วมกัน ต่างคนก็ต่างทำไปเพราะต่างเป็นคนละประเทศ แต่สำหรับฟินแลนด์แล้ว สิ่งที่เขาคิดนั้นแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง
นั่นจึงเป็นที่มาที่ทั้งสองเมืองนี้ มีการแชร์ทรัพยากรร่วมกันราวกับเป็นเมืองเดียวกัน ใช้สาธารณประโยชน์ร่วมกัน แบ่งกันว่าใครจะลงทุนด้านไหน ลงทุนในอะไร แล้วก็นำมาใช้ร่วมกัน แม้แต่ห้างอิเกียก็ยังใช้ร่วมกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือทางเหนือของทะเลบอลติก ระหว่างประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ มีเกาะอยู่เกาะหนึ่งกั้นตรงกลางที่เรียกว่าเกาะออลันด์ ซึ่งในช่วงต้นของประวัติศาสตร์มีความละเอียดอ่อนมาก เพราะประชากรบนเกาะนั้นเป็นคนสวีเดน อยากไปอยู่กับสวีเดน แต่สุดท้ายด้วยสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศมหาอำนาจและสองประเทศตกลงให้เกาะนี้อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์

ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ฟินแลนด์บริหารสถานการณ์นี้อย่างแตกต่างไปจากสิ่งที่หลายประเทศนิยมทำกัน ด้วยการกลืนกินให้ประชากรเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโดยสิ้นเชิง ทั้งในทางภาษาและวัฒนธรรม แต่สิ่งที่ฟินแลนด์ทำคือการอนุญาตให้ออลันด์สามารถใช้ภาษาสวีเดนได้ในฐานะภาษาทางการหนึ่ง และต่อมาได้ทำให้ภาษาสวีเดนกลายเป็นหนึ่งในภาษาราชการที่ใช้ทั่วทั้งฟินแลนด์ด้วย
แต่สิ่งที่ซื้อใจชาวออลันด์ได้อย่างเด็ดขาด ก็คือการที่รัฐบาลฟินแลนด์ประกาศใช้ออลันด์เป็นเขตปลอดทหาร ในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง คือการระบประกันความปลอดภัยให้ชาวออลันด์ อยู่นอกเหนือจากความขัดแย้งในสงครามที่กำลังปะทุอยู่ทั่วยุโรป
ทุกวันนี้ แม้ฟินแลนด์จะมีภาษาสวีเดนเป็นภาษาราชการอีกภาษาหนึ่งที่นักเรียนทุกคนต้องเรียนในโรงเรียนเป็นภาษาที่สองอยู่แล้ว แต่ความพิเศษสำหรับเกาะออลันด์ก็คือการที่ทุกอย่างเป็นสวีเดน ทุกอย่างใช้ภาษาสวีเดนทั้งในชีวิตประจำวันและในทางที่เป็นทางการ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน ทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของฟินแลนด์
อ.เดชรัตเสริมว่าหากจะเทียบให้เห็นภาพ มันคือเรื่องราวเดียวกันกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีชาวมลายูมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ ใช้ภาษามลายู และมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ซึ่งหากจะบริหารจัดการแบบฟินแลนด์ก็คือการอนุญาตให้ภาษามลายูมีที่ทางในฐานะที่เป็นภาษาทางการของทางราชการ
ทำให้เป็นเรื่องที่น่าคิด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในการที่หน่วยงานความมั่นคงยังคงมองเรื่องอัตลักษณ์ความเป็นมลายูเป็นความละเอียดอ่อนและภัยคุกคามความมั่นคง แทนที่จะมองเห็นมันเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพ เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่
อ.เดชรัตแลกเปลี่ยนในมุมเปรียบเทียบกับประเทศไทยให้เห็นอีกกรณีหนึ่ง ก็คือกรณีคนไทยพลัดถิ่นที่ จ.ระนอง พรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมาที่คั่นกลางด้วยแม่น้ำกระบุรี คือดินแดนที่ประชาชนในทั้งสองฝั่งต่างเป็นคนไทย พูดภาษาไทย เขียนภาษาไทย เพียงแต่การแบ่งเส้นพรมแดนระหว่างสยามกับอังกฤษเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้วได้แยกพวกเขาออกจากคนไทยในฝั่งระนองให้กลายเป็นพลเมืองคนละประเทศกัน
ต่อมาเมื่อราว 20-30 ปีที่แล้ว คนไทยจำนวนหนึ่งจากฝั่งเมียนมาหนีภัยความไม่สงบและสงครามในเมียนมา ข้ามมาฝั่งไทยแล้วตั้งรกรากที่นี่ ที่ซึ่งพวกเขายังคงไม่ได้รับการยอมรับในฐานะของคนไทยพลัดถิ่น รัฐไทยมีวิธีคิดแต่เพียงว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ แม้ปัจจุบันมี พ.ร.บ.สัญชาติที่ให้การยอมรับคนไทยพลัดถิ่นมากขึ้น แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถให้สัญชาติไทยกับพวกเขาได้ครบถ้วนทุกคน ยังมีเงื่อนไขบางประการด้วยวิธีคิดของรัฐแบบที่ยึดติดกับพรมแดนแบบตายตัว โดยปฏิเสธความเป็นจริงที่ว่าพวกเขาก็คือคนไทย อยู่หมู่บ้านคนไทย พูดภาษาไทย เขียนหนังสือไทย

อ.เดชรัต ตั้งคำถามชวนคิดว่าหากเป็นวิธีคิดแบบฟินแลนด์ พื้นที่ดังกล่าวนี้ควรจะกลายเป็นพื้นที่ที่แชร์อะไรหลายอย่างร่วมกันได้ในแบบทอร์นิโอกับฮาปารันดา และพรมแดนไม่ควรจะกลายเป็นอุปสรรคของคนในทั้งสองพื้นที่ ที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันในเมื่อมีการแชร์ทางวัฒนธรรมมากขนาดนี้ และนี่มากกว่าหรือไม่ ที่ควรเป็นพื้นที่ “เศรษฐกิจพิเศษ” ได้จริงๆ ในแบบที่ไม่ได้พิเศษเฉพาะในมุมมองนายทุนอย่างเดียว
จัดการอดีต เข้าใจปัจจุบัน มุ่งสู่อนาคต
แล้วในทางกลับกันถ้าอยากให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า มีนวัตกรรมทางสังคมเกิดขึ้น ควรจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
ต่อคำถามนี้ ครูจุ๊ยได้ยกตัวอย่างต่อถึงสิ่งที่ฟินแลนด์มีและเป็นเรื่องที่น่าสนใจและประหลาดใจไปพร้อมกัน นั่นคือการที่รัฐสภาฟินแลนด์มีสิ่งที่เรียกว่า “คณะกรรมาธิการว่าด้วยอนาคต”
แม้เมื่อฟังในช็อตแรกจะรู้สึกว่านี่คือการสร้างงานซับซ้อนเพิ่มให้รัฐสภาโดยไม่จำเป็นหรือไม่ แต่เมื่อไปดูถึงกระบวนการของสิ่งที่เกิดขึ้นในกรรมาธิการ เราจะพบได้ว่ามันคือเรื่องจริงจังที่ควรมีการเอาเยี่ยงอย่าง เพราะในกรรมาธิการนี้มีการศึกษาอนาคตอย่างมีระเบียบวิธีวิจัย มีงบประมาณการทำวิจัย และวางขอบเขตอนาคตไปไกลถึงปี 2100 นำมาซึ่งคำถามและข้อมูลในการคาดการณ์อนาคตหน้าตาจะเป็นประมาณไหน ประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมจะเป็นไปในรูปแบบใด มีความเป็นไปได้อะไรในทางนวัตกรรมสังคมบ้าง ศึกษาอนาคตทิศทางของโลก แล้วนำมาบอกรัฐสภา แล้วไปไล่ดูนโยบายต่างๆ ว่าทำให้เป็นไปเพื่ออนาคต สอดคล้องกับอนาคตจริงหรือไม่
อ.เดชรัตเสริมขึ้นมา ว่าถ้าดูในรายละเอียดของหลายนวัตกรรมที่หนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมา จะเห็นได้ว่ามันล้วนแล้วแต่เกิดจากการถกเถียงกันก่อน แลกเปลี่ยนกันจนตกผลึกแล้วทำออกมาได้ในที่สุด ไม่ใช่แค่การมีเพื่อให้มี แต่มีกระบวนการที่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงด้วย
ครูจุ๊ยเพิ่มเติมว่าวิธีการคิดของฟินแลนด์เต็มไปด้วยการมองอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน และนำไปสู่อนาคต และที่เขาสามารถทำได้ก็เพราะระบบฐานข้อมูลที่ดีมาก คาดการณ์อนาคตไม่ได้ถ้าไม่มีฐานข้อมูลที่ดีพอ เชื่อมโยงมาสู่อีกหนึ่งหลักที่สำคัญในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมที่หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำ ก็คือเรื่องของความโปร่งใส ซึ่งอยู่ในวิธีคิดแบบฟินแลนด์มานานแล้วจนกลายเป็นเรื่องปกติ ที่ประชาชนสามารถค้นข้อมูลได้ทุกเรื่องอย่างง่ายดาย ค้นได้แม้กระทั่งสมาชิกสภาที่เบิกค่าแท็กซี่กับสภา ใช้ในการเดินทางไปที่ไหนและไปทำอะไร
มาถึงจุดนี้ อ.เดชรัตเสริมขึ้นมาว่าสิ่งหนึ่งที่ตัวเองชอบในหนังสือเล่มนี้ คือมุมมองและการพูดถึงประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในบทที่ว่าด้วยเรื่อง “ประวัติศาสตร์ไร้พรมแดน”
สิ่งที่หลายประเทศมักทำหลังได้รับเอกราชก็คือการใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์ชาตินิยม แต่สำหรับฟินแลนด์แล้ว การใช้ประวัติศาสตร์ชาตินิยมของเขาต่างออกไปจากหลายประเทศ นั่นคือการเป็นประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่มีความไร้พรมแดนไปในตัวด้วย
นักประวัติศาสตร์ฟินแลนด์มองว่าการจำประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมที่ไม่สร้างสรรค์เป็นเรื่องที่อันตรายมากและไม่ตอบโจทย์ของประเทศ แน่นอนว่าเราต้องไม่ลืมประวัติศาสตร์ แต่เราต้องจัดการอดีต เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นเครื่องกักขังความคิดของเราเอง จนเรากลายมาเป็นนักโทษที่ถูกล่ามไว้กับอดีต

นั่นจึงนำมาสู่การรวมกลุ่มกันของนักประวัติศาสตร์แบบไร้พรมแดน ที่หนึ่งในนั้นก็มีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง อยู่ร่วมในขบวนการนี้ด้วย มายอมรับข้อเท็จจริงจากอดีต จากหลายกลุ่มคนโดยไม่ยึดติดกับสิ่งที่อยู่ในพรมแดนของประเทศตัวเอง
หากเปรียบเทียบในบริบทแบบไทย หรือกระทั่งทุกประเทศ ทุกชาติต่างมีความหลังทั้งที่สวยงามและที่ไม่สวยงามนัก คำถามสำคัญก็คือเราจะจัดการกับอดีตอย่างไร ซึ่งวิธีการจัดการอดีตนี้สำคัญ ไม่เข่นนั้นเราจะไม่สามารถทำความเข้าใจต่อกรณีหลายกรณีได้ เช่น ในกรณีของปาตานี ที่คนไทยมีปัญหาไม่ใช่เพราะไม่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ แต่มีปัญหาเพราะความไม่กล้าที่จะพูดถึงข้อเท็จจริง และการยอมรับอย่างเปิดเผย ว่ามีอะไรในอดีตบ้างที่เราเคยทำไว้ และที่จะไม่ทำอีกแล้วในปัจจุบันและอนาคต นำมาสู่การเป็นนักโทษของอดีตที่ไม่สามารถหลุดออกจากกรงขังนี้ได้
มาถึงจุดนี้ ไอซ์เสริมขึ้นมาว่าแน่นอนหากเทียบกับบริบทของประเทศไทย ประวัติศาสตร์ชาติไทยและคนไทยก็มีความเป็นชาตินิยมสูงมากเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากฟินแลนด์ก็คือการที่เขามองชาติคือประชาชน ทุกบทในประวัติศาสตร์ล้วนแต่เต็มไปด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐเคารพในสิทธิเสรีภาพประชาชนและประชาชนใช้เสรีภาพของตัวเองได้จริงๆ ไปถึงมีความเคารพในประวัติศาสตร์ของเพื่อนร่วมชาติที่หลอมรวมเข้ามาเป็นฟินแลนด์ แต่สำหรับประเทศไทย ทุกวันนี้เรายังมีความเห็นไม่เห็นตรงกันเลยว่า “ชาติ” หมายถึงอะไร
ครูจุ๊ยเสริมต่อว่าสำหรับฟินแลนด์แล้ว ความรักในชาติและความเป็นฟินแลนด์มีวิธีการเล่าที่แตกต่างมากไปจากสิ่งที่เล่าในแบบไทยๆ มีการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของทุกอย่าง มีแง่มุมที่แสดงให้เห็นความล้มเหลว การล้มลุกคลุกคลาน ความไม่เวิร์กของนโยบาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางล้วนถูกบันทึกเอาไว้หมดอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงสิ่งที่ยังเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็มีการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วย
อ.เดชรัตเสริมทิ้งท้ายว่าสิ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่สร้างฟินแลนด์ขึ้นมาให้กลายเป็นประเทศอย่างที่เป็นทุกวันนี้ คือวิธีคิดที่มองถึงความเป็นเจ้าของร่วมกัน ฟินแลนด์คือประเทศที่ทุกคนร่วมกันสร้าง ใครสร้างอะไร สร้างตรงไหน สร้างอย่างไร ใครมีส่วนอะไรบ้างในกระบวนการสร้างนั้น
นั่นทำให้วิธีคิดของฟินแลนด์เป็นการระลึกอยู่เสมอ ว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่ประชาชนเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จากคนหลายๆ คน รวมกันจนกลายเป็นประเทศๆ หนึ่งขึ้นมาในที่สุด
นี่ล่ะ คือใจกลางของความสำเร็จ ในการสร้างนวัตกรรมของฟินแลนด์ขึ้นมา และกลายเป็นชาติฟินแลนด์ขึ้นมาในที่สุด