เกิด: 23 ตุลาคม 2522 (ค.ศ.1979) กรุงเทพมหานคร อายุ 40 ปี
ป๊อก ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 4 คน เขาเกิดในครอบครัวคนชั้นกลางเชื้อสายจีนที่ค่อนข้างขาดแคลน แต่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาของลูกๆ เป็นอย่างมาก และนั่นต้องแลกมาด้วยการใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย ทำงานหนักและอดออม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลงท้ายด้วยภาระหนี้สินจากความต้องการสร้างอนาคตให้ลูก นี่ทำให้ปิยบุตรตระหนักดีถึงการเข้าไม่ถึงทรัพยากรของคนจำนวนมาก และอยากเห็นสังคมที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเกิดมาในครอบครัวแบบไหนก็ตาม
เมื่อปิยบุตรกลับจากฝรั่งเศสหลังเรียนจบปริญญาเอกด้านกฎหมายในปีพ.ศ. 2553 เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้กระทบใจเขาอย่างยิ่ง
ปิยบุตรให้ความสนใจประเด็นต่างๆ ทางสังคมมาโดยตลอดอยู่แล้ว แม้ในระหว่างที่เขาได้รับทุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้ไปเรียนปริญญาโทและเอกอยู่ที่นั่น เขาก็ไม่ได้ศึกษาเฉพาะวิชากฎหมายที่ตัวเองเรียนอยู่เท่านั้น แต่ยังใช้เวลาค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมือง ปรัชญา วัฒนธรรม รวมทั้งขบวนการทางสังคมที่เคลื่อนไหวผลักดันประเด็นต่างๆ ทั้งในฝรั่งเศสและประเทศยุโรปอื่นๆ ในขณะที่ยังคงติดตามการเมืองไทยและแสดงความคิดเห็นอยู่ไม่ได้ขาด
การที่ประเทศไทยกลับมาอยู่ในวังวนการรัฐประหารถึง 2 รอบในชั่วเวลาห่างกันไม่ถึง 10 ปี รวมทั้งการล้มรัฐบาลโดยวิธีผิดปกติอีก 1 ครั้ง นับจากปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดสิ่งที่เขาชี้ให้สังคมเห็นว่านี่คือ “ทศวรรษที่สูญหาย” ประเทศเสียเวลาและโอกาสของความเจริญก้าวหน้า เกิดความแตกร้าวของคนในชาติที่ ‘ถูกกำหนดสร้างขึ้น’ เป็นรอยร้าวลึกล้ำจนไม่อาจหันหน้ามาปรึกษาหาทางออกกันได้ ในขณะเดียวกัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็ถูกอำนาจและอาวุธกดทับเอาไว้ ประชาชนจำนวนมากต้องมีชีวิตอยู่กับการเมืองแห่งความกลัว
วันที่ 15 มีนาคม 2561 ปิยบุตร ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต โดยลาออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยตำแหน่งสุดท้ายคือ รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน หลังรับราชการมาแล้วมากกว่า 16 ปี เพื่อจับมือกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และผู้ที่มีความเห็นทางการเมืองคล้ายกันอีกจำนวนหนึ่ง ยื่นจดจัดตั้งพรรคการเมืองในชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ด้วยความตั้งมั่นจะสร้างการเมืองใหม่แห่งความหวัง การกลับคืนสู่หนทางที่การปกครองจะยึดโยงอยู่กับประชาชน และสร้างสรรค์ประเทศไทยที่อนาคตอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง