Moving เป็นซีรีส์ยอดมนุษย์สัญชาติเกาหลีใต้ ดัดแปลงมาจากเว็บตูน ว่าด้วยชีวิตของผู้มีพลังพิเศษที่ต้องการซ่อนทายาทผู้สืบทอดพลังของตนเองจากสาธารณะ ตลอดจนต้องปิดบังภูมิหลังของตัวละครรุ่นผู้ปกครองที่ต่างเคยข้องเกี่ยวกับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ความปกติสุขของครอบครัวเป็นเหตุผลสำคัญที่ขับเคลื่อนตัวละครเหล่านี้ ในแง่นี้จึงไม่แปลกที่หนังจะออกตัวตั้งแต่แรกๆ ว่า พลังพิเศษที่บรรดาคนเหล่านี้ครอบครองเป็น “คำสาป” ให้ชีวิตของพวกเขายากลำบากมากกว่าจะเป็นพรที่พระเจ้าประทานให้
หากมองผ่านมุมความขัดแย้งใหญ่ เนื้อเรื่องของซีรีส์แทบจะไม่มีอะไรนอกจากผลพวงของความมั่นคงของตัวละครและชาติที่ถูกทำลาย หลังตัวละครผู้มีพลังพิเศษชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีถูกส่งมาไล่สังหารผู้มีพลังพิเศษในเกาหลีใต้ จนเรื่องบานปลายไปถึงการรุกรานของประเทศเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม ในแง่อุดมการณ์ หากเปรียบให้นิยายกำลังภายในของปรมาจารย์นักเขียน “กิมย้ง” เป็นความพยายามดึงคนจีนพลัดถิ่นให้กลับมา “คืนดี” กับจีนแผ่นดินใหญ่ ซีรีส์เรื่อง Moving ก็อาจเป็นงานที่เรียกร้อง “ความรักต่อปิตุภูมิ” ระหว่างคนเชื้อสายเกาหลี หลังต้องแบ่งแยกขัดแย้งกันกว่าครึ่งศตวรรษ ให้กลับมาสมานกลมเกลียวกัน หรือหากพูดล้อไปกับตอนที่ 11 ของซีรีส์ชุดนี้ ก็คงคล้ายเป็นนวนิยายที่มีแก่นแท้คือ “ความรัก” มากกว่าการต่อสู้ประลองกำลัง
ในมุมประวัติศาสตร์ การแบ่งดินแดนเกาหลีเหนือ-ใต้ที่เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ (38th parallel north) เพิ่งเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น หลังจากเกาะเกาหลีตกอยู่ใต้อาณานิคมจักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นเวลากว่า 35 ปี (และหลายปีกว่านั้นมากหากมองประวัติศาสตร์เกาหลี) ทั้งนี้ หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก แทนที่เกาะเกาหลีจะได้เป็นประเทศเอกราชอย่างที่หวัง กลับแปรสภาพเป็นสมรภูมิอำนาจระหว่างฝ่ายโซเวียตและจีนกับฝ่ายอเมริกา โดยฝ่ายเหนือได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน ส่วนฝ่ายใต้ก็ได้รับแรงสนับสนุนจากอเมริกา ซึ่งในระยะแรกเริ่มทั้งสองฝ่ายต่างก็ปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยม กระทั่งฝ่ายใต้เกิดพัฒนาเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยและดำเนินรูปแบบเศรษฐกิจแบบเสรีที่มีเอกชนขนาดใหญ่ค้ำจุน ทำให้แซงฝ่ายเหนืออย่างไม่เห็นฝุ่นในที่สุด (หลายคนอาจไม่ทราบว่า ช่วงแรกที่ 2 ฝ่ายนี้แข่งขันกัน เกาหลีใต้ตามหลังเกาหลีเหนือมากทีเดียว)
หากมองย้อนกลับไปทุกตอนในซีรีส์เรื่องนี้จะเห็นชัดเจนว่า นี่เป็นซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งที่ฝ่ายใต้พยายาม “เขียน” ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งขึ้นใหม่ ช่วงแรกซีรีส์เลือกให้อเมริกาส่ง “กำลัง” หรือมนุษย์พลังพิเศษ เข้ามาแทรกแซงในฝั่งเกาหลีใต้ แต่สุดท้ายด้วยความแข็งแกร่งทางการทหารของเกาหลีใต้ก็ทำให้แผนแทรกแซงของอเมริกาต้องหยุดชะงักไปในที่สุด การฉายภาพเช่นนี้ถือเป็นการประกาศศักดาของเกาหลีใต้ว่าไม่จำเป็นต้องเพิ่งความช่วยเหลือจากอเมริกาเพื่อรักษาอำนาจของตนเองเหมือนสมัยสงครามเกาหลีอีกต่อไปแล้ว หนำซ้ำตนยังมีความแข็งแกร่งมากกว่าฝั่งอเมริกาอีกต่างหาก
ต่อมาซีรีส์ก็ดึงเกาหลีเหนือเข้ามายังเนื้อเรื่อง หลังความลับเรื่องผู้มีพลังพิเศษของฝั่งใต้รั่วไหล ส่งผลให้ฝ่ายเหนือส่งกำลังของตัวเองเข้าแทรกแซงบ้าง คราวนี้ก็ต่างจากช่วงสงครามเกาหลีอีกเช่นกัน เพราะเกาหลีใต้ไม่ใช่ฝ่ายถูกรุกรานจนเกือบล่มสลายเหมือนก่อนแต่อย่างใด (เกาหลีใต้เคยถูกฝ่ายเหนือรุกคืบจนเหลือฐานที่มั่นเล็กๆ เดียวคือเมืองปูซาน) ตรงกันข้าม เกาหลีใต้สามารถยับยั้งการรุกรานของเกาหลีเหนือได้อย่างสงัด ทั้งยังมีการใช้ผู้มีพลังพิเศษรุ่นใหม่ในการต้านทานกับมนุษย์พลังพิเศษที่เป็นทหารอาชีพของฝ่ายเหนือได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อเทียบกับกรณีที่ต้องสู้กับอเมริกันแล้ว แม้ฝ่ายเหนือจะส่งจำนวนผู้มีพลังพิเศษมามากกว่า แต่ฝ่ายใต้กลับสูญเสียมนุษย์พิเศษจากฝีมือฝ่ายเหนือน้อยกว่ามากทีเดียว
อย่างไรก็ดี อีกประเด็นหนึ่งที่ซีรีส์นำเสนอผ่านภูมิหลังของผู้มีพลังพิเศษแต่ละคน คือสภาพสังคมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ เพราะขณะที่ผู้มีพลังพิเศษฝ่ายเหนือมีความอดอยากเป็นแรงพลักดันในการเข้าร่วมภารกิจแห่งชาติ พวกผู้มีพลังพิเศษฝ่ายใต้กลับเป็นการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในสังคมสมัยใหม่มากกว่า กระนั้น ซีรีส์ก็ฉายให้เห็นว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว ผู้มีพลังพิเศษทั้งสองฝ่ายก็มีเหตุผลลึกๆ ไม่ต่างกัน คือถ้าไม่ใช่เป็นการทำไปเพื่อ “ครอบครัว” ก็ทำไปเพื่อ “ชาติ”
ชาติและครอบครัวกลายเป็นทั้งแรงผลักดันและตัวสมานความขัดแย้งของตัวละครในเวลาเดียวกัน ผู้มีพลังฝ่ายเหนือเข้าร่วมภารกิจเพื่อชาติเนื่องจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของครอบครัว ไม่ก็เพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่าของตน ขณะที่ฝ่ายใต้ หากไม่ทำเพื่อปกป้องชาติก็เพื่อปกป้องครอบครัวจากภัยอันตรายเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ความน่าสนใจอยู่ที่ตอนจบของซีรีส์ ที่ผู้มีพลังฝ่ายเหนือเลือกที่จะ “ใช้ชีวิต” โดยการหนี (หรือ “moving”) มาใช้ชีวิตในฝั่งใต้ ความหมายของการดำเนินเรื่องเช่นนี้อาจตีความได้ว่า การหายใจในดินแดนฝั่งเหนือไม่ได้เปิดโอกาสให้ใช้ชีวิตแต่อย่างใด จะมีแต่ฝั่งใต้เท่านั้นที่ทำให้ “คนเกาหลี” มีอนาคต การนำเสนอภาพนี้ยังหนักแน่นขึ้นไปอีกจากการที่ผู้มีพลังฝ่ายเหนือสามารถดำรงชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของสังคมฝ่ายใต้ได้อย่างปกติสุขในตอนท้าย
แง่มุมเช่นนี้หากไม่ได้สะท้อนสภาวะของเกาหลีในปัจจุบันที่คนฝั่งเหนือแอบหนีมาอยู่ฝั่งใต้จำนวนมาก ก็เป็นโฆษณาชวนเชื่อที่ฝั่งใต้ใช้เพื่อนำเสนอว่าตัวเองเป็นทางเลือกที่ดีกว่าของชนชาติเกาหลี ความน่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับผู้มีพลังเชื้อสายเกาหลีที่มาจากอเมริกา บรรดาคนที่มาจากฝั่งเหนือก็คล้ายจะได้รับการยอมรับให้มี “ความเกาหลี” และมี “บทหล่อ/น่าเห็นใจ” มากกว่าเสียอีก
ถึงอย่างนั้น บทสรุปที่ซีรีส์เรื่องนี้มอบให้ก็สอดรับกับสภาพความเป็นจริงแสนอิหลักอิเหลื่อ ทั้งในทางการเมืองและประวัติศาสตร์ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ได้ชัดเจนอย่างมาก เพราะแม้มันจะพยายามปิดฉากความขัดแย้งด้วยการปลิดชีพบรรดาผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ท้ายที่สุดตำแหน่งดังกล่าวก็พร้อมมีคนขึ้นมาแทนเสมอ จนทำให้ซีรีส์นี้ไม่ต่างอะไรกับสภาพความเป็นจริงในสังคมเกาหลี ที่แม้คนจำนวนมากจะเชื่อว่าฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้จะกลับมารวมตัว (reunification) ในท้ายที่สุด แต่ปลายทางและวิถีทางในการไปถึงสังคมดังกล่าวยังเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจินตนาการภาพออกได้แต่อย่างใด