โอมาร์ หนุนอนันต์


คงจะพูดได้ว่าโดยทั่วไปแล้ว เรามักรู้จัก Herbert Marcuse (1898-1979) ในสองด้าน หนึ่ง-ในฐานะนักทฤษฎีสังคมการเมืองแนววิพากษ์สายมาร์กซิสจากสำนัก Frankfurt ที่พยายามเชื่อมโยงความคิดของมาร์กซ์และฟรอยด์ (Sigmund Freud) มาใช้วิเคราะห์วิพากษ์สังคมทุนนิยม สอง-ในฐานะนักวิชาการที่มีอิทธิลต่อนักศึกษานักกิจกรรมฝ่ายซ้าย โดยเฉพาะในอเมริกาในช่วง 1960-1970 ถึงขนาดที่มีนักศึกษาเดินชุมนุมไป ถือหนังสือ “One-Dimensional Man” (1964) ของเขาไป 

หรือบ้างอาจรู้จัก Marcuse ในฐานะเจ้าของปรัชญาที่นำมาสู่วัฒนธรรม political correctness ในมหาวิทยาลัย อย่างที่ Alan Charles Kors และ Harvey Silverglate กล่าวหาในหนังสือ “The Shadow University” (1998) หรือที่ Allan Bloom กล่าวหา ในหนังสือ “Closing of the American Mind”(1987) ว่าอิทธิพลของ Marcuse นั้นสำคัญมากต่อการต่อต้านเสรีภาพภายในมหาวิทยาลัยในอเมริกา 

ทั้งนี้ เราคงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะจากมุมฝ่ายซ้ายหรือขวา ชื่อ Marcuse ใกล้ชิดกับเรื่องราวของการศึกษาและมหาวิทยาลัยอย่างมาก 

บทความนี้จึงร่วมหยิบยกความคิดบางส่วนของ Marcuse มาเพื่อพูดถึงสภาพความเป็นไปของทั้งนักศึกษาและผู้สอนในมหาวิทยาลัยปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของระยะห่างระหว่างพื้นที่ของชีวิตในมหาวิทยาลัยกับสนามการต่อสู้เปลี่ยนแปลงทางสังคม สองอย่างที่ Marcuse พยายามเชื่อมหากันอย่างไม่ประนีประนอม 

และแม้บทความชิ้นนี้มีเรื่องของผู้เรียนและผู้สอนในภาควิชาว่าด้วยการเมือง (ทฤษฎีการเมือง ปรัชญาการเมือง การเมืองต่างๆ etc.) เป็นภาพหลัก สาขาวิชาใกล้เคียงอื่นๆ  ที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง ก็อาจร่วมประสบการณ์นี้ได้เช่นกัน 

ระยะหว่างระหว่างการศึกษาและการเคลื่อนไหวทางสังคม (Academia – Activism) 

เราสามารถเริ่มพูดถึงระยะห่างนี้ด้วยคำถามง่ายๆ เช่น ทำไมเราอาจเรียกนักศึกษาและอาจารย์ดนตรีว่านักดนตรีได้ โดยไม่กลัวว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าเราเรียกนักศึกษาและอาจารย์การเมืองว่านักเคลื่อนไหวทางการเมือง พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบโต้แตกต่างไปแน่นอน 

ทำไมอาจารย์และนักศึกษาการเมืองมักรับรู้ได้ว่าภาษาที่พวกเขาใช้ในห้องเรียนกับภาษาที่ใช้พูดถึงเรื่องเดียวกันข้างนอกนั้นแตกต่างกัน ทำไมมันถึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางครั้งนักวิชาบางคนอาจถูกมองว่าอยู่กันคนละโลกกับคนที่กำลังต่อสู้อยู่บนท้องถนน (แม้แต่เพื่อนของ Marcuse อย่าง Theodor Adorno ยังเคยถูกมองโดยนักศึกษาแบบนั้นจนทะเลาะกับนักศึกษาเป็นเรื่องใหญ่โต) 

เราอาจนึงถึงตัวอย่างคลาสสิคที่นักศึกษาในยุค May ‘68 เขียนประกาศไว้ในกระดานห้องเรียนว่า ‘โครงสร้างมันไม่ลงไปเดินขบวนหรอก’ (‘Structures don’t march in the streets’)

ทำไมหลายคนรับรู้ได้ว่าบทความวิชาการมากมายยังไม่สามารถสื่อสารกับคนที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกได้ ทั้งๆ ที่มันคือเรื่องเดียวกัน ทำไมการเคลื่อนไหวทางการเมืองถึงการเป็นเรื่องส่วนบุคคลของอาจารย์และนักศึกษา และไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่และเป็นไปโดยธรรมชาติของชุมชนนี้โดยตัวมันเอง 

อาจไม่แปลกนักที่จะคิดว่า คำถามข้างต้นเหล่านี้เกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยกับคำถามอื่นๆ ในวงการวิชาการ เช่น อะไรคือหน้าที่ของปรัชญาการเมืองกันแน่? นักทฤษฎีและปรัชญาการเมืองควรเล่นการเมืองหรือเปล่า? ทฤษฎีต่างๆ ควรมีข้อเสนอเพื่อนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมไหม? การทำวิจัยควรถูกขับเคลื่อนด้วยวิธีวิทยา ทฤษฎี หรือปัญหา? แน่นอนว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ ของมหาวิทยาลัยในยุคสมัยเสรีนิยมใหม่ ที่ผูกนักวิชการไว้กับระบบการจัดการและตรวจสอบ performace และยังเกี่ยวกันกับประสบการณ์ทั่วไปที่นักเรียนสาขานี้เจออย่างคำถามว่า “ทำไมไม่ไปเลือกเรียนอย่างอื่น?” 

ศิษย์เอกคนหนึ่งของ Marcuse อย่าง Angela Davis ผู้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและอดีตสมาชิกพรรค Communist USA เคยพูดว่า มันยากเหลือเกินที่เราจะเห็นนักวิชาการขึ้นไปพูดในที่ชุมนุมในยุคสมัยปัจจุบันแล้วเอ่ยถึงคนอย่าง Kant, Hegel หรือ Marx แม้เราอาจไม่ได้มองว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาอะไร ก็เมื่อภาษาปรัชญามันเข้าใจยากและชวนปวดหัว มีแต่ภาษาเทคนิคเยอะแยะ ก็ไม่แปลกที่เราจะไม่พูดถึงมัน แต่สิ่งที่ Angela พยายามจะบอกเราคือ มันไม่ได้เป็นแบบนี้มาตลอด เรายังอาจตั้งคำถามได้ด้วยว่า มันเป็นเพราะความยากของภาษาจริงๆ หรือ ในเมื่อผู้คนมากมายปัจจุบันก็เริ่มชินชากับภาษาทางเทคนิคในโลกเทคโนโลยีอยู่แล้ว เราอาจไม่ควรสรุปว่าภาษาทางปรัชญาและทฤษฎีโดยตัวมันเองแล้วมีความยากกว่าภาษาที่ว่าด้วยสเป็คของสมาร์ทโฟนหรือกล้องถ่ายรูป 

ระยะห่างที่ว่ามานี้คือสิ่งที่งานและชีวิตของ Marcuse ชวนให้คิด Marcuse เป็นนักทฤษฏีสังคมการเมืองที่อุทิศความคิดและชีวิตให้การศึกษา แต่เป็น “การศึกษาที่หันหน้าเข้าสู่การปฏิบัติ การเรียกร้อง การต่อสู้ และการขบถ” (“education, but education which turns into praxis: demonstration, confrontation, rebellion.”) 

เพราะฉะนั้น เราอาจสามารถพูดถึงระยะห่างนี้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น ระหว่าง Academia กับ Activism ระหว่าง Theory กับ Praxis ระหว่าง University กับ Politics สำหรับ Marcuse การลดช่องว่างระหว่างมหาวิทยาลัยกับการต่อสู้ทางสังคมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งสถาบันการศึกษาและการต่อสู้ ทั้งสองอย่างต้องพึ่งพากัน และการต่อสู้นั้นอยู่ในทฤษฎีตั้งแต่แรกแล้ว (Action is already in theory) 


ทฤษฎีวิพากษ์ (Critical theory) ของ Marcuse 

เมื่อเราเริ่มต้นด้วยการมองว่า สำหรับ Marcuse นั้น การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ได้แยกไปจากทฤษฎี เราควรย้อนกลับมาพิจารณาว่า ทฤษฎีของ Marcuse เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างไร 

ในบทความชื่อ “Philosophy and Critical Thoery” (1937) Marcuse สะท้อนให้เห็นรากฐานทางปรัชญา ซึ่งเป็นฐานความคิดเชิงวิพากษ์ของเขาในหลายด้าน งานชิ้นนี้ Marcuse วิพากษ์ปรัชญาแบบ idealist ของ Immanuel Kant (และคนอื่นๆ)  เขามองว่าแม้ปรัชญาแบบนี้จะมาถูกทางในการให้ความสำคัญต่อเรื่องเหตุผล เสรีภาพ และความสุข แต่มันกลับมองอย่างจำกัดว่าเหตุผล เสรีภาพ และความสุขที่บริสุทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตของความคิดและ inner self ของคน ความเป็น idealist และ individualistic ของปรัชญาแบบนี้ ทำให้มันยังไม่สามารถเป็นพลังในการต่อสู้กับการครอบงำของสังคมกระฎุมพีได้ เพราะมันดันสะท้อนภาพว่า การตามหาเสรีภาพและความสุข เป็นเรื่องของความคิดและจิตใจของปัจเจก แทนที่จะเป็นเรื่องบริหารจัดการของสังคม 

อย่างไรก็ตาม Marcuse ก็เลือกรับความเป็น utopian ของปรัชญาแบบนี้มาไม่น้อย โดยเฉพาะความคิดที่มองว่า consciouss ของคนเรา ไม่สามารถถูกครอบงำโดยภาวะภายนอกได้ทั้งหมด และการปฏิเสธว่าข้อเท็จจริงภายนอกคือขอบข่ายและบรรทัดฐานของเสรีภาพและความจริง 

เรามองได้ว่านี่คือการไม่สยบยอมต่อภาวะทางสังคมที่เป็นวัตถุวิสัย (objective) ของ Marcuse ซึ่งแตกต่างนักปรัชญาสาย idealist ที่เขาวิจารณ์ เสรีภาพไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องได้มาด้วยความคิดของปัจเจกซึ่งปราศจากโลกภายนอกเท่านั้น แต่เสรีภาพคือ ความไปเป็นได้จริง (‘real potential’) ของการเปลี่ยนแปลงโลกภายนอก ทฤษฎีวิพากษ์ของ Marcuse นั้นไม่ได้สร้างเป้าหมายของมันจากความคิดเพียวๆ แต่จากโอกาสและความเป็นไปได้ของสังคมที่เกิดขึ้นจริง 

สำหรับ Marcuse หน้าที่หนึ่งของทฤษฎีวิพากษ์คือการชี้ให้เห็นว่าทางออกของปัญหาทางปรัชญานั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตของปรัชญา และการจินตนาการถึงสังคมที่ดีกว่านั้นจำเป็นต้องเป็นจินตนาการที่คิดคำนวนถึงโอกาส แนวโน้ม และความเป็นได้จริงของสังคม การผสมผสานกันระหว่างปรัชญาและแนวโน้มทางสังคม คือสิ่งที่เป็นรากฐานทางความคิดของ Marcuse เอง ไปจนถึงความคิดที่เขามีต่อเรื่องการศึกษา 

Marcuse มักย้ำว่า 

“การศึกษาคืองานของเรา แต่เป็นการศึกษาในความหมายใหม่ การศึกษาที่เป็นทั้งทฤษฎี/การปฏิบัติ และการปฏิบัติทางการเมือง การศึกษาในปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าการอภิปราย มากกว่าการเรียนการสอนและการเขียน ถ้าการศึกษาไม่ไปไกลกว่าห้องเรียน ไม่ไปไกลกว่ามหาวิทยาลัย มันก็จะยังคงไร้อำนาจ ไร้พลัง”

Marcuse มักย้ำอีกว่า หน้าที่ของนักวิชาการและอาจารย์ ไม่ใช่การนำนักศึกษาออกประท้วงง่ายๆ แบบนั้น แต่คือการนำเสนอและวิเคราะห์ข้อเท็จจริง แนวโน้มและความเป็นไปได้จริงของระเบียบทางสังคมที่เป็นอยู่ เพื่อให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้ สำหนับ Marcuse นี่คือบทบาทที่จำกัดแต่ก็สำคัญของนักวิชาการ 

หากเราอ่านความตั้งใจของ Marcuse เพียงผิวเผิน เราอาจคิดว่านักวิชาการมหาวิทยาลัยมากมายภายใต้ร่มปฏิฐานนิยม (positivism) กำลังทำตามข้อเสนอของ Marcuse อย่างเคร่งครัดเลยทีเดียว ซึ่งเราต้องเน้นย้ำว่า สำหรับ Marcuse การนำเสนอและวิเคราะห์ “ข้อเท็จจริง” ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติตามวิธีการในร่มของปฏิฐานนิยมอย่างแข็งทื่อ เช่น การรักษาความเป็นกลางของข้อมูลและการพิสูจน์สมมติฐานที่สามารถสังเกตเห็นได้จริง ฯลฯ แต่เขาหมายถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด กล่าวคือ ไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริงที่เป็น “วิทยาศาสตร์” แต่คือข้อเท็จจริงที่เผยให้เห็นบริบทและประวัติศาสต์ของมัน ข้อเท็จจริงที่ต้องถูกวิพากษ์ ข้อเท็จจริงสำหรับ Marcuse ไม่มีความเป็นกลาง แต่เราต้องมองเห็นว่าข้อเท็จเหล่านั้นกำลังปกครองใครและอะไรอยู่บ้าง เราอาจใช้คำของ Ernst Bloch ผู้มีอิทธิพลต่อ Marcuse ได้ว่า การยึดติดกับข้อเท็จจริง โดยไม่วิพากษ์วิจารณ์และไม่จินตนาการหาทางออกใหม่ๆ คือการ “ตกเป็นทาสของแนวโน้มทางวัตถุวิศัย” (“a slave of the objective tendencies”) 


ห้องเรียนมิติเดียว (One Dimensional classroom) 

ข้อวิพากษ์ต่อสังคมทุนนิยมของ Marcuse เด่นชัดอย่างมากในหนังสือ One-Dimensional Man (1964) หนึ่งในนั้นคือ ทรรศนะที่เขามีต่อแนวโน้วของสังคม ที่มักใช้ภาษาไปในมิติเดียว ซึ่งเป็นอันตรายต่อการคิดพัฒนาความหมายของคำต่างๆ ให้นอกเหนือไปจากนิยามที่ถูกมอบให้เรา เสมือนว่ามันคือความหมายหนึ่งเดียว 

เพื่อไม่ต้องลงลึกไปในทฤษฎีว่าด้วยภาษาของ Marcuse ในที่นี้เราอาจนึกถึงธรรมเนียมการสอนแบบแข็งทื่ออย่าง ประชาธิปไตยหมายความว่าอะไร ทุนนิยมหมายถึงอะไร สังคมนิยมหมายถึงอะไร ตามคำนิยามแบบมารตฐานทั่วไปในโรงเรียน ที่มักข้ามคำอธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความหมายอื่นๆ ที่พยายามช่วงชิงคำเหล่านี้มา 

ข้อวิพากษ์ของ Marcuse ยังรวมถึงการใช้ภาษาแบบที่บีบบังคับให้สิ่งที่ขัดแย้งอยู่ร่วมกันได้อย่างหน้าตาเฉย (“harmony of contradictions”) หากจะยกตัวอย่างการใช้ภาษาแบบนี้ในบริบทใกล้ตัว เราอาจนึงถึงการใช้คำเช่น ความสงบสุขหรือความสุขและการยึดอำนาจอยู่ในข้อความเดียวกัน ลักษณะเช่นนี้คือสิ่ง Marcuse พยายามชี้ให้เห็นว่า สังคมมีแนวโน้มที่จะทำให้สิ่งที่โดยสภาพแล้วขัดแย้งกัน สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างหน้าตาเฉย Marcuse เห็นว่าภาษานั้นไม่ใช่แค่เครื่องมือการสื่อสาร แต่เป็นเครื่องมือในการปรับแต่งความคิดและความเป็นจริง 

ถึงจุดนี้เราควรตั้งคำถามต่อ Marcuse ในบริบทของการศึกษาในมหาวิทยาลัยว่า แล้วพวกคลาสเรียนแบบวิพากษ์ต่างๆ หล่ะ? โดยเฉพาะคลาสเรียนที่เน้นการวิพากษ์ รื้อสร้าง และตรวจสอบความหมายของภาษาและคำต่างๆ ที่เรามักใช้กันในชีวิตทางสังคมการเมือง คลาสเรียนที่มักเน้นสอนว่าคำว่า ชาติ ประชาธิปไตย เสรีภาพ สังคมนิยม ทุนนิยม มีความหมายอย่างไร รากเหง้าเป็นมาอย่างไร ถูกช่วงชิงโดยฝ่ายไหนอย่างไรบ้าง ในคลาสเรียนแบบนี้ คำเหล่านี้ถูกท้าทายและรื้อรากเหง้าตลอดเวลา แบบนี้เราก็พูดได้ว่าการศึกษาในคลาสเช่นนี้เป็นไปแบบหลายมิติอย่างที่ Marcuse คิดว่าควรเป็นใช่ไหม?

คำตอบคือมันอาจไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป และแม้เราจะพูดได้อย่างมั่นใจว่า คลาสเรียนแนววิพากษ์แบบนี้ ที่ไม่ว่าจะสอนทฤษฎีที่ขึ้นชื่อว่าวิพากษ์แบบไหน (แบบ Frankfurt ก็ดี หรือแบบอื่นๆ ก็ดี) มีจำนวนมากขึ้นทั่วโลกจริงๆ เมื่อเทียบกับยุคปี 1960s ที่ Marcuse เรียกร้องให้มหาวิทยาเพิ่มการเรียนหนังสือแบบวิพากษ์ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจำนวนวิชาเรียนสังคมการเมืองแนววิพากษ์ที่มากขึ้นจะเท่ากับความวิพากษ์ที่มากขึ้นตามไปอย่างอัตโนมัติ เราพูดได้ถึงขนาดว่าในชั้นเรียนของสาขาสังคมการเมืองในมหาวิทยาลัยต่างๆ (โดยเฉพาะในโลกเสรี) อาจารย์และนักศึกษานั้นดูเหมือนจะได้อภิปรายและวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองกันอย่างเข้มข้น ราวกัทุกคนในห้องเรียนล้วนอยู่นอกเหนือการครอบงำและอุดมการณ์ (ideology) ของระเบียบสังคมการเมืองปัจจุบัน 

ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ เราไม่อาจด่วนสรุปได้ เพราะในขณะที่ความวิพากษ์กำลังพรั่งพรูอยู่นั้น อาจมีอีกหนึ่งชุดอุดมการณ์ที่กำลังทำงานอยู่ก็เป็นได้ 

หากหน้าที่ของอุดมการณ์ คือการครอบงำ เราก็ควรพิจารณาถึงอำนาจในการครอบงำนี้นอกเหนือพื้นที่ของความคิดและจิตสำนึกด้วย ฉะนั้นเราอาจพูดโดยมีสปิริตแบบ Marcusean ได้ว่า ตราบใดที่คลาสเรียนยังไม่สามารถถ่ายทอดพลังความวิพากษ์ของมันออกไปสู่ข้างนอกได้ มันก็ยังจำกัดและไม่ได้ “วิพากษ์” (critical) อย่างที่เราคิดไปเอง

ในที่นี้เราพูดได้ว่า (โดยยืมคำของ​ Pierre Boudieu) คลาสเรียนแบบนี้กลายเป็นแค่เพียง habitus ที่รวมเอาระเบียบและพฤติกรรมแบบ routine ชนิดหนึ่งไว้ พฤติกรรมที่มักวิพากษ์หลากหลายสิ่ง ยกเว้นแต่ตัวพฤติกรรมนี้เองไม่ใช่หรือคือสิ่งที่ Marcuse เรียกว่า “Harmony of contraditions” อย่างตรงไปตรงมา การที่เราสามารถท้าทายวาทกรรมต่างๆ วิพากษ์วิจารณ์ความคิดทางการเมืองมากมายและนำเสนอภาพสังคมที่เราต้องการ แต่ต้องทิ้งมันไว้ในห้องเรียน ไม่ใช่ผ่านการปฏิบัติในคลาสเรียนแบบนี้หรือที่บีบบังคับให้ความขัดแย้งอยู่ร่วมกันได้ 

ฉะนั้น คงไม่เกินไปถ้าเราจะอ่านความคิดของ Marcuse ที่ว่า “harmony of contradictions” นั้นก่อให้เกิดการอดทนต่อขั้วตรงข้าม โดยชี้เป้าไปที่พฤติกรรมการถกเถียงประเด็นทางสังคมและการเมืองอย่างวิพากษ์ ที่มีความเข้าใจร่วมกันในบรรดาสมาชิกในคลาสเรียนว่า คือส่วนหนึ่งของอาชีพของเราในฐานะผู้เรียนและผู้สอน มันคือสิ่งที่เราต่างมีความสุขที่จะทำ แต่กลับต้องตัดขาดจากมันเมื่อคลาสเรียนจบลง 

ในบทความชื่อ “Repressive Tolerance” (1965) Marcuse เสนอว่า เราควรต่อต้านความอดทนที่ทำงานให้ status-quo ความอดทนที่ทำให้พลังและอำนาจของศัตรูเป็นเรื่องปกติและธรรมชาติ ซึ่งในขณะที่ความคิดว่าด้วยความอดทนของ Marcuse นั้นผูกโยงกับเรื่องของภาษา ในบริบทของเราก็อาจพูดได้ว่า ในขณะที่ภาษาถูกวิพากษ์ ท้าทายและรื้อถอนในห้องเรียน ความอดทนอย่างว่าดูเหมือนจะถูกกดทับไว้ และกลับมาคงเดิมหลังเลิกเรียน  

มากกว่านั้น เรายังอาจสัมผัสได้ถึง a particular mode of pleasure ในห้องเรียนประเภทนี้ ที่หาไม่ได้ในการเสวนาในชีวิตประจำบ่อยนัก การเข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอนุญาตให้เราได้พบเจอกับ pleasure แบบนี้ และนี่เป็นสิ่งมหาวิทยาลัยปัจจุบันตระหนักเป็นอย่างดี หนำซ้ำมหาวิทยาลัยยังใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือโฆษณาเสียด้วย เราอาจนึกถึงกรณีที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งมักใช้ภาพ (ที่มักจัดฉาก) ของบรรยากาศการถกเถียงในห้องเรียน ในการโปรโมทให้กับผู้ที่กำลังตัดสินใจเข้ามาเรียนว่า “นี่ดูสิ นักศึกษาในภาพเขาดูตั้งอกตั้งใจ มีความสุข และรู้สึกได้เปิดโลกขนาดไหน” หากจะพูดให้ตรงไปตรงมา การถกเถียงนี้ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการโฆษณาว่า เรียนกับเราคุณจะได้ enjoy กับการพูดคุยเรื่อง ภัยธรรมชาติ ความเหลื่อมล้ำ สงคราม และอีกมายมาย 

แล้วอุดมการณ์ไหนบ้างหล่ะที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมอบ some sort of pleasure ให้คนที่มันพยายามจะครอบงำ? 

เราควรมองการศึกษาแบบนี้ด้วยความระมัดระวัง เพราะด้านหนึ่งมันก็กำลังฝึกฝนให้เราวิพากษ์อย่างมืออาชีพ ฝึกให้เราคิดกับมันเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเส้นทางอาชีพ (take it professionally not personally)  ให้เป็นสิ่งที่แยกออกจากความรู้สึกส่วนตัวของเรา การศึกษาแบบนี้ดูจะแตกต่างกับการศึกษาในความคิดของ Marcuse ที่จำเป็นต้อง​ “เป็นเรื่องของความคิด จิตใจ และร่างกาย เหตุผลและจินตนาการ สติปัญญาและสัญชาติญาณ” 

เราไม่ได้กำลังพูดว่า นักศึกษาและอาจารย์ขาดความสนใจต่อประเด็นปัญหาที่พวกเขาศึกษาอย่างจริงใจ กลับกัน มันชัดเจนจากประสบการณ์ของเราอยู่แล้วว่า นักศึกษาและอาจารย์มากมายคือคนมี passion กับเรื่องที่เขาศึกษาจริงๆ เราเพียงแค่ชี้ไปที่ลักษณะและระเบียบของการปฏิบัติที่อยู่ในระบบการศึกษาเท่านั้น และถึงแม้ว่าผู้เรียนผู้สอนจะเป็นคนที่สนใจและแคร์ต่อประเด็นปัญหาอย่างจริงจัง คลาสเรียนส่วนมากนั้นก็ได้ถูกออกแบบไว้ให้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเครื่องมือการวิเคราะห์ การประเมินผล และเทคนิคอื่นๆ มากกว่าการให้เวลากับการคิดถึงปัญหาต่างๆ ในมิติที่ซับซ้อนของมัน แคร์และ passion นั้น ถูกวางให้เป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ใช่ของระบบ แม้ระบบจะต้องเพิ่งพาการโฆษณามันก็ตาม 

จนถึงตอนนี้ เราได้กล่าวถึงเพียงคลาสเรียนแนววิพากษ์ แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่คลาสเรียนส่วนใหญ่จะเป็นคลาสเรียนแบบนี้ ทั้งนอกและในสาขาสังคมการเมือง หลักสูตรมากมายยังคงดำเนินไปตามระเบียบแบบปฏิฐานนิยม (positivism) และวิธีการให้เหตุผลและวิธีวิทยาของมัน ในห้องเรียนแบบนี้เรามีพื้นที่และเวลาน้อยเหลือเกินสำหรับการท้าทายและวิพากษ์ความหมายของคำและวิธีการต่างๆ 

Marcuse ก็เช่นเดียวกับ Horkheimer และ Adorno ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์การศึกษาและความคิดแบบนี้ไว้มาก โดยเฉพาะการยึดติดกับอยู่กับ ข้อมูลและวิธีการทาง “วิทยาศาสตร์” การคำนวน การทำนายผลลัพธ์และเหตุการณ์ การแยกย่อยปัญหาจนสูญเสียมิติความซับซ้อนของมันเพียงเพื่อรองรับวิธีการบางแบบและวิธีการแก้ปัญหาบางประเภท ฯลฯ ในคลาสเช่นนี้ไม่ว่าผู้เรียนและผู้สอนจะคิดและรู้สึกจริงๆ อย่างไร ปัญหาทางสังคมการเมืองมักเป็นเรื่องที่ต้องมองมาจากข้างนอกอย่างเป็นกลางและเป็นวิทยาศาสตร์ ตามคำพูดที่เราอาจเคยได้ยินว่า “นักรัฐศาสตร์นั้นต่างกับนักข่าวการเมืองตรงที่เครื่องมือที่เราใช้ และเราไม่ได้ผลิตแค่ความคิดเห็น” เป็นต้น

ในมหาวิทยาลัย การปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนั้นเสี่ยงที่จะถูกลดทอนจนกลายเป็นแค่เพียงการแสวงหาและแสดงถึงทุนทางสัญญะบางอย่าง (symbolic capital) ที่ผดุงความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนเอาไว้ และถ้าการศึกษาสังคมการเมืองไม่ได้ตั้งอยู่บนความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง การเขียนบทความสำหรับนักศึกษา อาจถูกลงทอนไปเป็นเพียงการพยายามที่จะได้มาซึ่งคะแนนสูงๆ เพียงเพื่อการยอมรับจากผู้สอน และการตรวจบทความก็อาจถูกลดทอนเหลือเพียงการมอบการยอมรับตามบรรทัดฐานชนิดหนึ่ง หรือแค่การทำหน้าที่ในฐานะลูกจ้างของมหาวิทยาลัย 

ภายใต้ระบบการศึกษาและการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยในเสรีนิยมใหม่นั้น ผู้สอนเองถูกบีบบังคับให้มีความสัมพันธ์กับผู้เรียนอย่างจำกัด การเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษา ร่วมคิดร่วมทำกับนักศึกษา เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ว่าด้านใด ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ผู้สอนต้องถูกประเมิน หากผู้สอนคนไหนทำ นั่นก็เป็นแค่ความพยายาม แรงกาย และต้นทุนของเขาเอง เป็นธุระของปัจเจกล้วนๆ 

แน่นอนว่าระบบนั่นอนุญาตให้อาจารย์มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์สร้างสรรค์งานอย่างเต็มที่ในงานเขียน ตราบใดที่อาจารย์เขียนแล้วมันเพิ่มยอดการอ้างอิง (citations) หรือหลักเกณฑ์อื่นๆ และเรารู้ได้ว่าระบบที่เราอยู่ภายใต้นั้นมีปัญหาอย่างมาก ถ้างานวิชาขายมีขายกันเยอะแยะขนาดนี้ 

อาชีพของผู้สอนนั้นถูกทำให้ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นๆ มากกว่าคนที่เขาต้องสอน ระยะห่างระหว่างการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงสังคม นั้นย่อมรวมไปถึงระยะห่างระหว่างผู้เรียนและผู้สอนด้วยกันเองเช่นกัน ระบบการศึกษาที่ขูดรีดร่างกายและจิตใจของผู้สอนเพื่อเป้าหมายอันพิสดารของมัน คือสิ่งที่ Marcuse เรียกว่า “การศึกษาในความป่วย” ซึ่ง “ดำเนินไปโดยขัดต่อเจตนารมย์และความตั้งใจของผู้สอน” 

อาจต้องย้ำอีกว่า เราไม่ได้บอกว่าคลาสเรียนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยนั้นไร้ความหมายและไม่ใยดีต่อการเมือง เราเพียงเน้นย้ำถึงแน้มโน้มที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันเท่านั้น แน่นอนว่าห้องเรียนที่ก้าวหน้าและสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นมีอยู่ไม่น้อย อาจารย์และนักศึกษาที่มีความพยายามร่วมกันเพื่อจะไปให้ไกลกว่าห้องเรียนก็มีจำนวนหนึ่ง แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าห้องเรียนและความพยายามแบบนี้กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะต้องฝืนกับระเบียบของระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฏ ธรรมเนียม เวลา พื้นที่ ที่สถาบันการศึกษาไม่ได้ออกแบบมาเพื่ออะไรเหล่านี้ มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงใดๆ (แม้จะโฆษณาถึงการพัฒนาต่างๆ อยู่ร่ำไป) 

นักศึกษาและอาจารย์ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในการงานอาชีพมากมายด้วยตัวของเขาเอง และในขณะที่นักศึกษาต้องต่อสู้กับการส่งงานที่ดีให้ได้ทันเวลา อาจารย์ก็ต้องสู้กับกฏเกณฑ์ และภาระงานอันล้นหลามที่แลกมากับค่าแรงที่ไม่สมดุล การมีส่วนร่วมทางการเมืองนอกเหนือห้องเรียนจึงการเป็นการเสียสละ วัฒนธรรมการเมืองของผู้ถูกปกครองจึงเป็นวัฒนธรรมแบบผู้เสียสละ แม้จะเป็นสิ่งที่น่าเชิดชู แต่ไม่ใช่สิ่งถูกต้อง การท้าทายต่อระยะห่างระหว่างการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงสังคม จำเป็นต้องท้าทายระบบการศึกษาที่เป็นเงื่อนไขต่อการใช้ชีวิตของทั้งผู้เรียนและผู้สอน  


ข้อเสนอของ Marcuse 

แน่นอนว่าการศึกษาในความคิดของ Marcuse นั้นนับวันยิ่งจะยากขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนทางออกนั้นมีไม่มาก หากสวมสปิริตของ Marcuse ก็คงพูดได้ว่า ทางออกคงไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงจากงานวิชาการที่แหลมคม โดยทางออกสำหรับ Marcuse ในฐานะนักต่อสู้คนหนึ่ง ย่อมต้องอาศัยการรวมตัวและการจัดตั้ง (organize) แม้ Marcuse จะมีมุมมองต่อธรรมชาติของนักวิชาการ (ทั้งนักศึกษาและผู้สอน) ว่าเป็นกลุ่มคนที่ชอบให้คนอื่นรวมตัวกัน แต่มักไม่รวมตัวกันเอง 

ในคำพูดของเขาต่อเรื่องสถาบันการศึกษาและการเมือง ที่ Berkeley ปี 1975 ข้อเสนอของ Marcuse ต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมในบริบทของปัญญาชนมหาวิทยาลัยนั้นเรียบง่าย 

“ถ้าหากการปลดแอกของชนชั้นแรงงานเป็นหน้าที่ของชนชั้นแรงงาน การปลดแอกของแรงงานวิชาการ (intellectual workers) ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของชนชั้นแรงงานวิชาการ! การเคลื่อนไหวของทั้งสองต้องหลอมรวมกัน แต่ก่อนที่คุณจะสร้างความเป็นหนึ่งกับแรงงาน คุณต้องสร้างความเป็นหนึ่งกันเองก่อน พักการถกเถียงเรื่องอะไรคือยุทธศาสตร์ของ Marxist หรือ Marxist-Leninist หรือ Trotskyist หรือ Maoist ไว้ก่อน ดีเบตเหล่านี้ไม่มีบทบาทในความเป็นจริง เรื่องที่สำคัญคือการสร้างความเป็นหนึ่ง การเติบโตเชิงปริมาณของการเคลื่อนไหว จนกว่าปริมาณจะเปลี่ยนเป็นคุณภาพ! การเคลื่อนไหวในสองสามมหาวิทยาลัยทำอะไรไม่ได้ การเคลื่อนไหวระดับชาติอาจทำได้!”  

แม้เงื่อนไขของมหาวิทยาลัยและสังคม ณ ปัจจุบัน จะแตกต่างกันกับเงื่อนไขต่างๆ ในยุคสมัยของ Marcuse และแม้ดีเบตเรื่องยุทธศาสต์แบบเลนินหรือเหมา จะไม่ใช่ดีเบต ณ ปัจจุบันอีกแล้ว 

ความคิดแนววิพากษ์ของ Marcuse ยังคงสะท้อนอยู่ในเรื่องระยะห่างระหว่างพื้นที่ของมหาวิทยาลัยและการเปลี่ยนแปลงที่ยังมีอยู่ ฉะนั้นเราอาจกล่าวได้ว่าปัญหาใหญ่ก็ยังมีอยู่ ไม่แตกต่างไปมากจากยุคสมัยของ Marcuse 



อ้างอิง 

Bourdieu, Pierre. OUTLINE OF A THEORY OF PRACTICE. Translate by Richard Nice. Reprinted. Cambridge University Press, 2013. 

Cunningham, Joseph. “Praxis Exiled: Herbert Marcuse and the One Dimensional University.” Journal of Philosophy of Education 47, no. 4 (September 9, 2013): 537–47. https://doi.org/10.1111/1467-9752.12037

Davis, Angela. “Marcuse’s Legacies.” In Herbert Marcuse: A Critical Reader, edited by John Abromeit and Mark Cobb, 43-50. Routledge, 2004.

Fleming, Peter. Dark Academia: How Universities Die. Pluto Press, 2021.

Groff, Ruth. Subject and Object: Frankfurt School Writings on Epistemology, Ontology, and Method. Bloomsbury Publishing Plc, 2014.

Kellner, Douglas. “Mr. Harold Keen: Interview with Dr. Herbert Marcuse” In In THE NEW LEFT AND

THE 1960s HERBERT MARCUSE COLLECTED PAPERS OF HERBERT MARCUSE Volume Three, edited by Douglas Kellner, 128-136. Routledge, 2005.

Maisuria, Alpesh, and Svenja Helmes. Life for the Academic in the Neoliberal University (Routledge Research in Higher Education).  Routledge, 2020.

Marcuse, Herbert. An Essay on Liberation. Edition Unstated. Beacon Press, 1969.

———. “IDEALISM AND POSITIVISM.” In Collected Papers of Herbert Marcuse Volume Five: Philosophy, Psychoanalysis and Emancipation, edited by Doughlas Keller and Clayton Pierce, 92-100. Routledge, 2011.

———. “Lecture on Education, Brooklyn College, 1968.” In Marcuse’s Challenge to Education, edited by Doughlas Keller et al., 33-38. ROWMAN & LITTLEFIELD PUBLISHERS, INC., 2009. 

———. “Lecture on Higher Education and Politics, Berkeley, 1975.” In Marcuse’s Challenge to Education, edited by Doughlas Keller et al., 39-43. ROWMAN & LITTLEFIELD PUBLISHERS, INC., 2009.

———. “Liberation from the Afflent Society.” In THE NEW LEFT AND

THE 1960s HERBERT MARCUSE COLLECTED PAPERS OF HERBERT MARCUSE Volume Three, edited by Douglas Kellner, 76-86. Routledge, 2005.

———. One-Dimensional Man: Studies in the Ideology of Advanced Industrial Society. Reprinted. Routledge, 2007.

———. “Philosophy and Critical Theory (1947).” In Subject and Object: Frankfurt School Writings on Epistemology, Ontology, and Method, edited by Ruth Groff, 277-295. Bloomsbury Publishing Plc, 2014. 

———. “Repressive Tolerance.” Marcuse.org. https://sites.evergreen.edu/arunchandra/wp-content/uploads/sites/395/2018/07/tolerance.pdf

Neupart-Doppler, Alexander. Translated by Charles Reitz. “Critical Theoy and Utopian Thought.” In  The Sage Handbook of Frankfurt School Critical Theory 3 Volume Set, edited by Beverly Best, Werner Bonefeld, and Chris O’Kane, 714-734. SAGE Publications Ltd, 2018.

Reitz, Charles. Art, Alienation, and the Humanities: A Critical Engagement with Herbert Marcuse. SUNY Press, 2000.

———. “Herbert Marcuse: Critical Theory as Radical Socialism.” In The Sage Handbook of Frankfurt School Critical Theory 3 Volume Set, edited by Beverly Best, Werner Bonefeld, and Chris O’Kane, 161-178. SAGE Publications Ltd, 2018.