พระราชบัญญัติจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2561 ซึ่งออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถือเป็นการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินฯ ที่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญต่อหลักการในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และแตกต่างไปจากรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 อย่างสิ้นเชิง
พระราชบัญญัติจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2561 คือการควบรวม ทรัพย์สินในพระองค์ และ ทรัพย์สินในพระมหากษัตรย์ เข้าด้วยกัน เป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เท่ากับเป็นการโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จากนั้นมีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ อาทิเข่น ธนาคารไทยพาณิชย์ จากผู้ถือหุ้นคือสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาเป็นพระปรมาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 10 เหล่านี้ล้วนตกอยู่ในความสนใจของประชาชน
ปัญหาทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาลูกใหม่ของสังคมไทย แต่ใครจะทราบว่าในอดีต เคยมีข้อเสนออันเฉียบคมในการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และเป็นข้อเสนอที่เกิดขึ้นหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของไทยเพียง 9 ปี
Common School ได้เรียบเรียงข้อเสนอการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของ ‘ขุนพลภูพาน’ เตียง ศิริขันธ์ ที่อาจเป็นหนึ่งในทางออกของปัญหาการจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ในยุคปัจจุบัน
ย้อนกลับไปใน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2484 เตียง ศิริขันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร อภิปรายเสนอแนวทางการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ก้าวหน้ากว่าพระราชบัญญัติจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2477 และ พ.ศ. 2479 ซึ่งแยกทรัพย์สินดังกล่าวเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คือ เสนอให้พระมหากษัตริย์ควรมีรายได้ที่กำหนดไว้แน่นอนชัดเจน โดยรัฐสภา เป็นผู้กำหนดรายได้และงบประมาณ นอกจากนี้ เตียงยังเสนอให้แบ่งทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.ทรัพย์สินที่เป็นส่วนพระองค์ (เหมือนเอกชนทั่วไป)
2.ทรัพย์ที่เป็นของรัฐ (ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์,หุ้น และสาธารณสมบัติ เช่น วัง)
ในแง่นี้จึงไม่มีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะถือว่าทรัพย์สินส่วนนี้เป็นของรัฐ เป็นทรัพย์สินของผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ทรัพย์สินของรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมของสภาผู้แทนราษฎร เป็นทรัพย์สินที่ทำให้เกิดดอกผล กำไรจากการลงทุน ค่าเช่า ฯลฯ ดังนั้นรายได้-รายจ่ายทั้งหมดที่มีต้องแจ้งต่อรัฐสภาในฐานะผู้ใช้อำนาจแทนประชาชน ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศ
กล่าวง่ายๆ คือ เตียงเสนอให้ดึงทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์มาเป็นทรัพย์สินของรัฐ ให้รัฐจัดการ และรัฐสภาจะถวายเงินที่กำหนดให้ทุกปี ดึงอำนาจในการจัดการทรัพย์สินอันควรเป็นของประชาชนกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของประชาชน
เตียงเป็นห่วงว่า ถ้ากษัตริย์จัดการทรัพย์สินเอง โดยเฉพาะทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ จะทำให้กษัตริย์ผูกขาดธุรกิจ และกลายเป็นกลุ่มทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม และกังวลว่าพระราชอำนาจส่วนนี้จะสร้างผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อระบอบรัฐธรรมนูญ
ข้อเสนอของ เตียง ศิริขันธ์ ถือเป็นข้อเสนอที่มาก่อนกาล เพราะเป็นข้อเสนออันสอดคล้องกับยุคสมัยที่ประชาชนตั้งข้อกังขาต่อภาษีของพวกเขาที่นำไปใช้ในกิจการต่างๆ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และเสนอข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยและหลักการกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ข้อโต้เถียงเรื่องการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในกระบวนการประชาธิปไตยไทยมาตั้งแต่ครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ข้อเสนอข้างต้นจึงควรค่าแก่การนำมาพูดคุยไต่ตรองกันอีกครั้งหลังจากผ่านมา 80 ปี เพราะข้อเสนอดังกล่าวอาจจะช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมือง คลี่ปมขัดแย้งและข้อกังขาต่อการแทรกแซงทางเศรษฐกิจและการเมือง และธำรงไว้ซึ่งพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะการขยายพระราชอำนาจเกินขอบเขตประชาธิปไตยที่มีลักษณะโน้มเอียงไปทางสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากขึ้นในปัจจุบัน อาจนำสังคมไทยไปสู่จุดที่ไม่อาจหวนกลับได้อีกแล้ว
เอกสารอ้างอิง
ปราการ กลิ่นฟุ้ง, การจัดการงบประมาณและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หลังการปฏิวัติ ศึกษากรณีอังกฤษและสยาม, ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 , พ.ศ. 2560