ก้อย เดินจูงมือข้าพเจ้าในวัยเยาว์เข้าไปยังห้องสมุด ผมยาวดำขลับเส้นหนาที่ถักเป็นเปียนูนดูเรียบร้อยของเธอช่างต่างกับผมเส้นเล็กสีอ่อนอันยุ่งเหยิงของข้าพเจ้าในยามนั้นชัดเจน เธอพาข้าพเจ้าเดินผ่านครูบรรณารักษ์เข้ามาถึงชั้นหนังสือ แล้วแจ้งกับข้าพเจ้าว่าหนังสือเรื่องขบวนการนกกางเขนที่เคยให้ข้าพเจ้ายืมนั้นเธอก็ยืมมาจากห้องสมุดอีกที ก่อนจะปล่อยให้ข้าพเจ้าเดินเลือกหนังสือบนชั้นหนังสือสักเล่มหนึ่ง “คนหนึ่งยืมหนังสือได้ไม่เกินสามเล่ม แล้วก็ต้องเอามาคืนในเจ็ดวันนะ ถึงจะยืมใหม่ได้ รอบนี้เราจะยืมให้ก่อน แล้ววันนี้กอฟทำบัตรห้องสมุดเลยนะ จะได้มายืมหนังสือไปอ่านได้” ข้าพเจ้าเอออออย่างว่าง่ายกับข้อเสนอของก้อย ก่อนจะหยิบหนังสือภาพที่หน้าปกสะดุดตาขึ้นมา ข้าพเจ้ามักจะเลือกหนังสือจากหน้าปกก่อนเสมอ ใครจะบอกว่าอย่าตัดสินหนังสือจากปกก็เถอะ อย่างน้อยถ้าเนื้อในมันไม่ดีก็ขอให้มีที่วางสำหรับปกสวยๆ ก็ยังดีน่า 

“เทพนิยายกรีก” เป็นหนังสือเล่มแรกที่ข้าพเจ้ายืมจากห้องสมุดด้วยชื่อของก้อย ตอนที่พวกเราเรียนอยู่ชั้นประถมสาม หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ใช้ห้องสมุดเป็นที่พึ่งพิงมาเรื่อยๆ แต่ ข้าพเจ้าไม่ใช่คนรักการอ่าน ข้าพเจ้าไม่ชอบอ่านหนังสือ ใช่ อันนี้จริงจัง ข้าพเจ้าไม่ใช่หนอนหนังสืออย่างที่ใครๆ คิด 

แต่ที่ข้าพเจ้าต้องอ่านหนังสือ เพราะชีวิตข้าพเจ้าในตอนนั้นมีทางเลือกน้อยกว่าคนอื่นต่างหาก

ชีวิตเด็กบ้านนอกที่ต้องนั่งรถรับส่งนักเรียนมาเรียนในโรงเรียนคาทอลิคราคาแพงเป็นระยะทางเจ็ดสิบกว่ากิโลทุกวัน รายล้อมไปด้วยเพื่อนที่มาจากครอบครัวมีฐานะมากกว่า พวกเขามีเพจเจอร์ มีโทรศัพท์บ้าน มียูบีซีและเอ็มทีวีให้ดู มีทามาก๊อตจิ มีเครื่องเขียนดีๆ และมีคลาสเรียนพิเศษ ในขณะที่ชีวิตของข้าพเจ้าในวันเสาร์อาทิตย์นั้นคือการสร้างอาณาจักรตุ๊กตา ปั่นจักรยาน ขุดจิ้งหรีด จับผีเสื้อ จับแมลงเต่าทอง และ ดูทีวีช่องธรรมดา 

แหนะ คิดถึงเรื่องความสุขของแม่หนูกะทิกันละเซ่ มันก็ไม่ได้สุขอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกน่า เอาไว้มีเวลาจะเล่ายาวๆให้ฟัง รอบนี้เขาให้เขียนแค่เรื่องอ่านหนังสือหนะนะ 

เอาเข้าจริงถ้ามองจากตรงนี้ ชีวิตข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากการคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เหมือนกับที่ตอนนี้เขาคุยกันผ่าน แอปพลิเคชันคลับเฮ้าส์ แต่ข้าพเจ้ายังใช้มือถือในระบบแอนดรอยส์อยู่นั่นแหละ แต่ไอ้การคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง มันก็ทำให้เราไกลออกไปจากโลกของพวกเขา ที่อาจจะดูเหมือนเป็นโลกของคนส่วนใหญ่ และในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดเพียงว่า เมื่อเราไม่สามารถเข้าถึงโลกของคนอื่นได้ เราก็แค่สร้างโลกของตัวเองขึ้นมา และด้วยความเพียรพยายามของพ่อแม่ชาวนาจนๆ ของข้าพเจ้าที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีห้องสมุดดีๆ และมีหนังสือหลากหลายให้ได้เลือกอ่าน ก็แน่ละสิ จ่ายแพง มันก็ต้องดีกว่า

ข้าพเจ้ายืมหนังสือจากห้องสมุดทุกวันพฤหัสบดีเพื่อที่จะได้เอาไปอ่านในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ หนังสือที่ยืมส่วนใหญ่ก็คละกันไปตามความสวยของปกหนังสือ บางหมวดถ้าน่าสนใจข้าพเจ้าก็จะหาอะไรที่ใกล้เคียงกันมาอ่านเพิ่มเติม แต่ก็ไม่ได้หอบหนังสือเล่มหนากลับบ้านเพราะแค่ลำพังหนังสือเรียนก็หนักไปแล้วห้ากิโล เอากลับมาบ้านแค่เล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้พ่อแม่ได้ชื่นใจเวลาเห็นหนังสือแปลกๆ ที่นอกเหนือจากหนังสือเรียนมาวางอยู่บนโต๊ะกลมของข้าพเจ้าก็พอ เพราะข้าพเจ้ายังมีภารกิจประจำคือการออกไปวิ่งเล่นกับน้องๆ และเพื่อนในละแวกบ้าน สอยมะม่วง ไหนจะต้องจัดเวทีที่บังคับเพื่อนๆ แถวบ้านมาเป็นนางแบบให้ข้าพเจ้า ไหนจะต้องซ้อมเต้นเอาไว้ให้พ่อแม่ดู ดังนั้นหนังสือจึงไม่ใช่เวลาว่างทั้งหมดของข้าพเจ้า

ขอย้ำอีกครั้ง ข้าพเจ้าไม่ได้ชอบอ่านหนังสือ ข้าพเจ้าแค่อยากใช้หนังสือสร้างโลกอีกใบขึ้นมาเฉยๆ 

จนเมื่ออายุครบสิบสองปี ข้าพเจ้าต้องเดินทางออกจากความคุ้นเคยของตนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ตามที่แม่ตัดสินใจ แม่ส่งข้าพเจ้าเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพและอาศัยอยู่กับน้าสาวที่เลี้ยงดูข้าพเจ้าต่างจากแม่มากนัก ข้าพเจ้าต้องใส่ถุงเท้าเอง ซักผ้าเอง รีดผ้าเอง ทำความสะอาดบ้านแทบจะทั้งหมดทุกวัน แน่นอนว่าการปรับตัวครั้งใหม่ในชีวิตเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเด็กผู้หญิงในวัยนั้น ทั้งอายเพื่อนที่เดินผ่านไปมาหน้าประตูกระจกที่จะเห็นข้าพเจ้ายืนถูพื้นอยู่ ไหนจะต้องนั่งดูทีวีช่องที่ไม่อยากดูเวลาที่มีคนอื่นๆ อยู่ด้วย รอจนกระทั่งสองทุ่มครึ่งจึงเป็นเวลาที่จะได้รับความบันเทิงจากทีวี แต่ น้าก็ดูหนังฝรั่งช่องยูบีซีแบบไม่พากย์ไทยอยู่ดี แต่ก็ดีกว่าที่จะไม่ได้เสพความบันเทิงใดเลย 

ในภาวะยากลำบากอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ใช้หนังสือนี่แหละเป็นผู้ช่วยให้รอด ทั้งการ์ตูนจีนกำลังภายใน ทั้งเรื่องย่อละครในหนังสือพิมพ์รายวัน และบทความในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีให้อ่านฟรีเพราะเป็นของที่ทำงานน้า แต่ทว่ามันกลับไม่พอ โลกที่สร้างขึ้นมาตอนนั้นยังไม่ปลอดภัยพอ มันยังมีที่ว่างให้คนอื่นเข้ามาก้าวก่ายกับข้าพเจ้าได้อยู่ แม้ว่าข้าพเจ้าจะต้องฝึกซ้อมวาดรูปเพื่อไปแข่งขันแทบจะตลอดเวลาก็ตาม ข้าพเจ้าเริ่มเดินเข้าห้องสมุดในโรงเรียน และนี่ช่างเป็นโชคดีเสียเหลือเกินที่ในยามนั้นโรงเรียนของข้าพเจ้าเป็นโรงเรียนที่ไดรับรางวัลห้องสมุดดีเด่นในเขตการศึกษา แน่นอนว่ามันกว้างมาก และมีหนังสือในระดับมหาวิทยาลัยอยู่ด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเข้าใกล้มันหรอกนะ หนังสือพวกนั้นออกจะน่ากลัวเกินไปสักหน่อยสำหรับข้าพเจ้า ขอเน้นไปที่ดาราศาสตร์ และวรรณกรรมเยาวชนดีกว่า 

ข้าพเจ้าใช้หนังสือจากห้องสมุดเป็นพื้นที่หลีกหนีจากโลกของคนอื่น และเริ่มเป็นหนักขึ้นเมื่อเข้าชั้นมัธยมปีที่สี่ ตามปรกติของเด็กหญิงในวัยนั้นหลังกินข้าวแล้วก็จะเข้าห้องน้ำ ประแป้ง แต่งหน้าสักนิดหน่อย แล้วก็คุยกันอยูในห้องน้ำเป็นนานสองนาน แต่ข้าพเจ้ารีบฉี่ รีบไปเข้าห้องสมุดจนเพื่อนในกลุ่มเคืองไปหลายต่อหลายครั้ง 

แต่แล้ววันหนึ่งข้าพเจ้าก็กลับมาพบว่า มีหนังสือสองกองวางอยู่ในห้องนั่งเล่น เจ้านายของน้าที่ข้าพเจ้าเองก็ให้ความเคารพมาก นำมาให้ข้าพเจ้าเลือก เลือกที่จะอ่าน และ เอาสิ่งที่อ่านมาคุยกัน 

แน่นอนว่าลุงคนนั้นไม่ใช่เพื่อนอ่านหนังสือของข้าพเจ้า แต่เป็นกูรูของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะคำถามไหน ไม่เข้าใจอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะได้ความกระจ่างขึ้นมา “แต่อ่านแล้วต้องเอาไปลองปรับใช้และปฏิบัติด้วย ถึงจะรู้ว่ามันจริงอย่างที่ในหนังสือว่าไว้ไหม” ลุงบอกหลังจากที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และพลังแห่งเรื่องเล่าจบ 

แน่นอนว่าข้าพเจ้าไม่รอช้า ข้าพเจ้าในวัยเยาว์พร้อมจะพิสูจน์ทุกทฤษฎีที่ได้อ่านมา มีใครสักคนบอกว่าเราจะเป็นเช่นหนังสือที่เราอ่าน อาจจะมีส่วนจริงตามนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะเป็นจริง เพราะหากว่าเราลงมือพิสูจน์บางอย่างแล้วพบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น หรือแม้แต่เราเอาตัวละครออกมานั่งคุยกันกับเราแล้ว เราก็อาจจะพบว่าเราไม่ได้มีความคิดเห็นที่ตรงกันกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นหนังสือจึงเป็นหนังสือเท่านั้น 

แต่มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ส่งผลกับชีวิตของข้าพเจ้าอย่างมโหศาล มันไม่ใช่หนังสือที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะอ่านเอง แต่เป็นหนังสือที่รุ่นพี่คนหนึ่งหยิบยื่นมาให้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างของเขาเอง แต่ในวัยเยาว์เช่นนั้นข้าพเจ้าตกหลุมพรางนั้น มันเป็นหนังสือที่ถูกถ่ายเอกสารและเย็บเข้าเล่มมา ปกไม่สวยเพราะเป็นสีขาวดำ เข้าสันแล็กซีนสีน้ำเงิน

แต่มันกลับทำให้ข้าพเจ้าเต้นแร้งเต้นกาตามพลังตัวอักษรในหนังสือนั้น ข้าพเจ้าต้องการละทิ้งชีวิตทุกอย่างในยามนั้นเพื่ออุทิศชีวิตให้แก่สังคมและผู้คนที่ทุกข์ยาก ตรรกะการตั้งคำถามในชีวิตของข้าพเจ้าถูกกระแทกอย่างรุนแรง อนาคตชีวิตที่เคยวางแผนไว้ถูกทำลายด้วยหนังสือเล่มนั้น วัยเยาว์และพลังปลุกเร้าของตัวอักษรในหนังสือนำพาข้าพเจ้าเข้าสู่โลกที่กว้างกว่า กว้างกว่าในหนังสือ จริงกว่าตัวอักษรเหล่านั้น 

หนังสือเป็นเพียงเครื่องมือแห่งวัยเยาว์ แห่งการค้นคว้าทดลอง แห่งการค้นหาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นเครื่องมือสร้างโลกอีกใบของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง 

ข้าพเจ้าอ่านเพื่อคงความวัยเยาว์ของตน อ่านเพื่อค้นพบความจริง อ่านเพื่อทดลองทำ อ่านเพื่อสร้างโลกของข้าพเจ้า โลกที่จะงามขึ้นอีกนิด แต่นั่นไม่ได้แปลว่าข้าพเจ้ากำลังจะบอกคุณผู้อ่านหรอกนะว่าการอ่านมันสำคัญอย่างไร หรือ ทำไมเราจะต้องอ่านหนังสือ แต่ ข้าพเจ้าจะบอกว่าการเลือกว่าจะอ่านอะไรและเพื่ออะไรต่างหากที่สำคัญ แน่นอนว่าถ้าวันนั้นข้าพเจ้าเลือกหนังสืออื่นที่ไม่ใช่ ‘เทพนิยายกรีก’ มาอ่าน และถ้าไม่ใช่เพราะหนังสือที่ถูกยัดเยียดให้อ่านเล่มนั้น ข้าพเจ้าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างเช่นที่ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวเองอย่างทุกวันนี้ก็ได้ 

ไม่ว่าอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยืนยันว่าข้าพเจ้าไม่ชอบอ่านหนังสือ ข้าพเจ้าแค่ใช้หนังสือเป็นเครื่องมือสร้างโลกของข้าพเจ้าเองเท่านั้น 

รัก

ภรณ์ทิพย์ 

ปล.อย่าเดาว่าหนังสือเล่มที่สองเป็นหนังสือ กรงจักรปีศาจ หรือ กษัตริย์ไม่ยิ้ม เพราะข้าพเจ้าไม่เคยอ่านเลยทั้งสองเล่ม เชื่อเถอะ หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้อาจจะไม่ใช่หนังสือที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ก็ได้

Author

Common School
รณรงค์ความคิดแบบก้าวหน้า เพราะเราเชื่อว่าการจะเอาชนะในทางการเมือง จำเป็นต้องเอาชนะกันในทางความคิด